Wednesday, March 4, 2009

หุ้นปั่น...ปั่นหุ้น!?!

หุ้นปั่น...ปั่นหุ้น!?!

น่าจะเป็นคำที่นักลงทุนในตลาดหุ้นคุ้นหูและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงที่ ตลาดหุ้นกำลังคึกคักร้อนแรงและอยู่ในช่วง "ขาขึ้น" เป็นภาวะ "กระทิงคึก" สุดๆในขณะนี้

การซื้อขายที่หนาแน่น ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง นักลงทุนในตลาดมากกว่าครึ่งนั่งลุ้นกันสุดตัว เพราะเล่นเก็งกำไรระยะสั้นกันวันต่อวัน และวนเล่นกันวันละหลายรอบ ตามข่าวลือ ข่าวปล่อย ที่มีทั้งข่าวจริง ข่าวเท็จ แพร่สะพัดไปในห้องค้าเต็มไปหมด

ขณะที่ราคาหุ้นหลายๆตัวได้ทะยานขึ้นอย่างหวือหวาโดดเด่นและร้อนแรง สร้างความอู้ฟู่ร่ำรวยให้แก่นักลงทุน โดยหุ้นบางตัวปรับขึ้นมาแล้ว 400-500% และบางตัวปรับขึ้นไปได้ถึงหลัก 1000% หลายตัวปรับชนเพดานสูงสุด (30%) ติดต่อกันหลายวัน การซื้อขายหุ้นกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งสูงผิดปกติ ก่อนจะวนไปกระจุกตัวในหุ้นตัวอื่นๆต่อ

เสียงที่อื้ออึงพูดกันถึง "หุ้นปั่น" และ "พฤติกรรมการปั่นหุ้น" ได้ดังหนาหูขึ้นทุกที ทั้งยังดูเหมือนกระบวนการปั่นหุ้นในยุคนี้จะซับซ้อนแยบยล และไฮเทคสุดๆ!!

ใครปั่นหุ้น...ปั่นอย่างไร...หุ้นตัวไหนเหมาะมือน่าปั่น อะไรคือลางบอกเหตุว่าหุ้นตัวนี้กำลังโดนปั่น โปรดติดตาม....!?!

===========================================================

ขาใหญ่ฮั้วกันปั่น

จากการสำรวจตรวจสอบขบวนการปั่นหุ้นพบว่า พฤติกรรมการไล่ซื้อเก็งกำไรผสมโรงตามของ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปั่นหุ้นของหัวโจกหรือต้นตอที่จุดพลุ ไล่ราคาปั่นหุ้นประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์เพราะการเข้าผสมโรงไล่ซื้อตามเป็นการ "ต่อยอด" ให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง และเป็นสัญญาณให้ "ก๊วนปั่นหุ้น" ใช้เป็นจังหวะในการเทขายทำกำไรได้ในราคาสูง!!

นั่นหมายถึงรายย่อยได้ตกเข้าไปเป็นเครื่องมือ...เหยื่อ... หรือเครือข่ายหนึ่งของการปั่นหุ้น ในจุดที่เสี่ยงที่สุด!!

หากจะแยกแยะให้เห็นถึงกรรมวิธีการปั่นหุ้นและกลุ่มคนผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น ที่เห็นกันดาษดื่นในยุคนี้ คือการเริ่มจุดพลุจากบรรดานักลงทุนรายใหญ่หรือ "ขาใหญ่" ที่มีเงินหนา สายป่านยาวในตลาดหุ้น ซึ่งแต่ละคนมีมูลค่าพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ถึง 1,000 ล้านบาท โดยก๊วนปั่นกลุ่มนี้จะมีผู้ร่วม ขบวนการเป็นบรรดาเครือข่ายขาใหญ่ด้วยกันเอง ก๊วนปั่นแต่ละรายจะมีบัญชีซื้อขายหุ้น (พอร์ต) เปิดไว้หลายโบรกเกอร์ หลายคนก็กระจายไปหลายโบรกฯ พอร์ตใครพอร์ตมัน เส้นทางเงินทองแยกเป็นอิสระต่อกัน แต่เป้าหมายและผลประโยชน์ตรงกัน

โดยอาจจะนั่งสั่งการ "ปั่น" แยกที่ใครที่มัน หรือรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการส่วนตัวของขาใหญ่เอง และอาจรวมกลุ่มปั่นกันที่ห้องวีไอพีของโบรกฯใดโบรกฯ หนึ่ง!?!

ขั้นตอนการปั่นหุ้น ก่อนอื่นเลยคือ การเลือก "ตัวหุ้น" ที่จะปั่นหรือสร้างราคา โดยคุณสมบัติหรือลักษณะเด่น ของหุ้นน่าปั่น และปั่นง่ายนั้น ต้องเป็นหุ้นตัวเล็กที่ราคาไม่สูงมากนัก ประเภทหุ้นต่ำสิบหรือราคาอยู่ในช่วง 10-30 บาท และต้องเป็นหุ้นที่มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนซื้อขายในตลาดได้จริงไม่มากนัก

เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมหรือสร้างราคาให้เปลี่ยนแปลงได้ง่าย และใช้เงินจำนวนไม่มากก็สามารถ ผลักดันราคาให้ปรับขึ้นไปได้ โดยสามารถกำหนดหรือคำนวณวงเงินที่จะใช้ในการปั่นหุ้นแต่ละตัวได้ ซึ่งวงเงินที่ใช้มีตั้งแต่ 400-2,000 ล้านบาท ตามราคาและจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาด ซึ่งหุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นที่อยู่ในข่าย "หุ้นเหมาะมือ" น่าปั่น

ที่สำคัญ หุ้นเหล่านี้มักจะมีข่าวหรือมีเรื่องราวหนุนหลัง ที่เป็นปัจจัยเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน ของบริษัท เช่น ผลการปรับโครงสร้างหนี้ การลดทุน-เพิ่มทุน แตกพาร์หรือแจกวอแรนต์ รวมทั้งการย้ายกลุ่มจากหมวดรีแฮปโก้กลับมาซื้อขายในหมวดธุรกิจปกติ ทั้งนี้ อาจจะเป็นทั้งข่าวจริง ข่าวลือ หรือข่าวคาดการณ์

ค่อยๆลากขึ้นไป "เชือด"

ก๊วนปั่นหุ้นนี้จะใช้กลยุทธ์ "ทยอยเก็บของก่อน แล้วค่อยปล่อยข่าว" โดยจะค่อยๆ เข้าไปซื้อหุ้นที่ราคายังนิ่งอยู่ในระดับต่ำตุนไว้ในพอร์ตจำนวนหนึ่ง จากนั้นจะนัดกันเข้าไปไล่ซื้อพร้อมๆกัน ในลักษณะไล่ราคา ที่จะทำให้ปริมาณวอลุ่มและราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนทันที ซึ่งมีกรรมวิธีทั้งการเข้าไปตั้งราคาซื้อ (Bid) โดยทุ่มซื้อเป็นลอตใหญ่ๆจำนวนเยอะ และซื้อทุกราคาที่มีคนเสนอขาย หรือการตั้งคำสั่งซื้อโดยซอยคำสั่งเป็นย่อยๆและส่งคำสั่งถี่ๆ และซื้อทุกราคาเช่นกัน เพื่อจะทำให้นักลงทุนทั่วไป เห็นความต้องการซื้อที่หนาแน่นและการทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาหุ้น เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้รายย่อยไหลเข้าไปซื้อเก็งกำไรตาม โดยบางครั้งอาจใช้กลยุทธ์อำพราง โดยชักคำสั่งซื้อออกเมื่อถึงคิวที่จะจับคู่ซื้อได้ เพื่อหลอกล่อให้เห็นว่ามีความต้องการซื้อจำนวนมาก

ขั้นตอนต่อไปก็จะเริ่มขบวนการ "ปล่อยข่าว" เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนจะไล่เช็กหรือ สอบถามข่าวเมื่อเห็นหุ้นตัวใดวิ่งผิดปกติ และจุดนี้นี่เองที่ข่าวต่างๆ จะถูกปล่อยออกมาตามห้องค้าในอินเตอร์เน็ต หรือข่าวออนไลน์ต่างๆ และอาศัยการแพร่ สะพัด โดยพูดกันปากต่อปาก

ก๊วนปั่นหุ้นอาจทำทีโทร.ถามมาร์เกตติ้งว่ามีข่าวลือออกมาเช่นนี้จริงหรือไม่ (ข่าวที่ว่าก็จะเป็นข่าวที่จะมีผลดีต่อราคาหุ้นตัวนั้นๆ) เมื่อนักลงทุนรายอื่นๆ โทร. มาถามต่อ มาร์เกตติ้งก็อาจกลายเป็นผู้กระจายข่าวออกไปเอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ จากนั้นนักลงทุนก็จะเอาไปพูดต่อเพื่อกระตุ้นให้ "คนรู้ทีหลัง" เข้ามาไล่ตาม "ต่อยอด" ราคาให้สูงขึ้นไปอีก

นี่ก็จะเป็นจังหวะหรือโอกาสงามๆที่ก๊วนปั่นจะได้ทยอย "ออกของ" ขายหุ้นออกมาได้ในราคาสูง ฟันกำไรตุงกระเป๋า ก่อนที่จะโยกเข้าไปปั่นหุ้นตัวอื่นต่อ และอาจจะวนกลับเข้ามา ปั่นหุ้นตัวเดิมได้อีกเป็นรอบๆ ขณะที่รายย่อยก็จะ "ติดหุ้น" ในราคาสูง เพราะเมื่อจบภารกิจการปั่นแล้ว ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ 2-3-5 วัน

ปฏิบัติการ "จุดพลุ" ที่เริ่มตั้งแต่เข้าไปไล่ราคา จะมีการส่งสัญญาณหรือกำหนดช่วงราคาซื้อและ ราคาเป้าหมายที่จะขายไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งจะรู้กันเอง เพื่อเป็นการส่งสัญญาณภายในกลุ่มถึงจังหวะในการขายทำกำไร แต่บางครั้งเป้าหมายของราคา อาจถูกปล่อยออกมาพร้อมกับข่าวหรือเรื่องราวที่ซัพพอร์ตตัวหุ้น และที่สำคัญ มักจะบังเอิญออกมาสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของบางโบรกเกอร์ที่ออกมาหนุน

ว่ากันว่า บทวิเคราะห์ของบางโบรกเกอร์สามารถกดปุ่ม "สั่ง" ให้ออกมาได้ ในช่วงเวลาที่พอดีกับการเข้า "ต่อยอด" ราคาของรายย่อยด้วย!!!

เพราะบรรดาขาใหญ่ ก๊วนปั่นทั้งหลาย ล้วนเป็นลูกค้าวีไอพีที่สร้างรายได้ ค่าคอมมิชชั่นให้แต่ละโบรกฯมหาศาล นอกจากนี้ หุ้นปั่นบางตัวยังพบว่ามีเครือข่ายของผู้บริหารโบรกเกอร์แฝงตัวร่วมก๊วนด้วย

ดังนั้น การดูข้อมูลบทวิเคราะห์ของหุ้นแต่ละตัว สมควรต้องดูเปรียบเทียบกันหลายๆแห่ง เพราะโบรกเกอร์ "น้ำดี" ที่เป็นที่พึ่งของนักลงทุนในตลาดยังมีอีกมาก และก็อาจออกบทวิเคราะห์หุ้นปั่นมาในช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์

ผู้บริหาร "อินไซด์" ปั่นเอง

ก๊วนปั่นที่ต้องจับตา เพราะกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้ คือ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเอง ที่เป็นหัวโจกต้นตอในการปั่น โดยนอกจากจะร่วมกับเครือข่ายของตัวเองแล้ว หลายกรณียังมีการชักชวน ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการด้วย เพื่อเพิ่มพละกำลังและวงเงินในการปั่นให้บรรลุผล

กรณีนี้ ผู้บริหารจะใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่มีการเปิดเผยเป็นเครื่องมือในการชักจูง ให้ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการ ซึ่งหุ้นที่จะปั่นในกรณีนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นตัวเล็กเสมอไป อาจเป็นหุ้นขนาดกลาง แต่ที่จะต้องมีคือข้อมูลภายในซึ่งเป็นข่าวจริงที่จะมีผลต่อราคาหุ้นโดยตรง

ผู้บริหารจะบอกข้อมูลให้ขาใหญ่รู้ว่า บริษัทกำลังจะมีข่าวดีอะไร และตั้งเป้าที่จะปั่นราคาให้ ปรับขึ้นไปได้ในระดับใด กรรมวิธีก็คล้ายๆ เดิมคือเริ่มเข้าทยอยตุนเก็บหุ้นในราคาต่ำ โดยผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะใช้บัญชีของเครือข่ายที่จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงมาถึงตัวได้ หลังจากนั้น จะมีการเปิดเผยข่าวดีออกมา โดยผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรืออาจจะแจ้งตลาด หลักทรัพย์ตามข้อบังคับที่ถูกต้อง

จากนั้นก็จะส่งสัญญาณให้เครือข่ายเข้าไปไล่ดันราคาหุ้นให้พุ่งขึ้นมา เมื่อมีรายย่อยผสมโรงเข้ามาไล่ซื้อต่อยอด เมื่อได้ตามราคาเป้าหมาย ก็จะฉวยจังหวะนี้ทยอยชิงขายทำกำไรออกมา

หรือบางครั้งเพียงแค่มีข่าวดีออกมา นักลงทุนก็จะเข้าไปไล่ซื้อ ยิ่งโถมเข้ามามาก ราคาก็ทะยานขึ้น ก๊วนปั่นอาจจะเข้าผสมโรงระยะหนึ่งเพื่อให้ตายใจ แต่ในอีกทางหนึ่งก็จะทยอยขายหุ้นต้นทุนต่ำออกมา หลังจากนั้นหลายครั้งที่พบว่า รายย่อยอาจยัง "เล่นกันเอง-ปั่นกันเองต่อ" ใครเข้ามาไล่ซื้อ "รับไม้สุดท้าย" ก็เจ็บตัวขาดทุนไปตามระเบียบ ขณะที่ก๊วนปั่นออกตัวขายหุ้นฟันกำไรตุงกระเป๋าไปแล้ว

ซึ่งการใช้ข้อมูลอินไซด์ของก๊วนผู้บริหารนี้ พบว่าหลายครั้งจะมีการ "ขยักข่าว" หรือค่อยๆทยอยปล่อยข่าวดีออกมาเป็นระลอก เพื่อให้สามารถกระชากราคาหุ้น ให้ขยับปรับขึ้นได้หลายรอบ ที่ข่าวอินไซด์ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กับการตั้งราคาเป้าหมาย เช่น ขยักแรกตั้งเป้า 25 บาท ขยักต่อไปเป้า 30 บาท

ปล่อยข่าวรอบแรกก็จะปั่นให้ถึง 25 บาท แล้วขายทำกำไร ปิดธุรกรรมออกมาก่อน จากนั้นทิ้งช่วงเวลาไว้ ระยะหนึ่ง เพื่อเข้าไปทยอยเก็บหุ้นที่ปรับลงมาต่ำกว่า 25 บาท และปล่อยข่าวออกมาอีกขยัก เพื่อตั้งเป้าปั่นรอบต่อไปให้ถึง 30 บาท งานนี้เรียกว่า "เล่นรอบ" วนฟันกำไรกันได้หลายรอบ

อาชีพใหม่รับจ้างปั่น

สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาปั่นหุ้นและทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ยึดถือเป็นอาชีพใหม่ที่น่า ตกใจขณะนี้คือ รับจ้างปั่นหุ้น ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและ รู้พฤติกรรมนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างดี คนเหล่านี้อาจมาจากที่ปรึกษาการเงิน ทั้งที่ยังทำงานประจำอยู่และที่ออกมาตั้งตัวรับจ้างปั่นโดยเฉพาะ ได้ผลตอบแทนจากส่วนแบ่งกำไรจากพอร์ตของผู้บริหาร (นอมินี) และได้กำไรตรงจากการเข้าไปลงทุนของเครือข่ายตัวเอง

วิธีการทำงานคือจะเข้าไปเสนอตัวกับผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่เป็นนักเล่นหุ้นซึ่งส่วนใหญ่ มักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และวางแผนในการสร้างเรื่องราว ที่หนุนให้การปั่นมีเหตุมีผลมีน้ำหนัก ซึ่งเรื่องราวที่ว่าจะอยู่บนหลักการที่ทำได้ ทั้งการแตกพาร์ เพิ่มทุนแจกวอแรนต์ จัดกลุ่มธุรกิจใหม่ แต่งตัวเอาบริษัทลูกเข้าตลาด หรือแม้กระทั่งเจรจาร่วมพันธมิตร ซึ่งข่าวต่างๆ นี้จะถูกวางแผนดำเนินการ อย่างมืออาชีพและค่อยๆทยอยปล่อยข่าวออกมา เพื่อให้นักลงทุนคล้อย ตามผสมโรงเข้ามาไล่ราคาตาม และเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะในการเข้าซื้อและ ขายหุ้นของก๊วนปั่นมือปืนรับจ้าง

ว่ากันว่า ก๊วนปั่นทั้ง 3 กลุ่มข้างต้นนี้ สามารถทำกำไรในแต่ละรอบไม่ต่ำกว่า 100-500 ล้านบาท ในเวลา 3-7 วัน มากกว่าบางบริษัทที่ทำธุรกิจมาทั้งปี!!!

===========================================================

จะเห็นว่า ทุกขั้นตอนของกระบวนการปั่นหุ้นในยุคนี้ สมัยนี้ มีหลักการ ฉับไว รวดเร็ว ไร้ร่องรอย กระทำการตอนตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและร้อนแรง หุ้นทุกตัวที่ถูกปั่นจึงมักประสบผลสำเร็จ ราคาวิ่งเกินปัจจัยพื้นฐาน และแม้รายย่อยบางกลุ่มบางคนจะได้กำไรจากการเข้าไล่ซื้อตาม แต่สุดท้าย มักติดหุ้นในราคาต้นทุนสูงมากกว่า

มีคำถามว่า รายย่อยจะมีโอกาสเข้าไปหากำไรร่วมกับขบวนการปั่นหุ้นได้หรือไม่!??

ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดหุ้นชี้แนวทางว่า ในช่วงปี 2546 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ที่ปรับขึ้นได้ทุกตัวนั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นกำไรไหลเข้ากระเป๋ารายย่อย เพราะด้วยปัจจัยพื้นฐานภาพรวมตลาดที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างชัดเจน รายย่อยที่เข้าไปผสมโรง ต่อในทอดแรกๆ ก็ยังขายทำกำไรออกมาได้ ตามที่นักกลยุทธ์แนะติดปากว่า "ตามข่าวให้ทัน เข้าให้ถูกจังหวะ" และ "เข้าเร็ว-ออกเร็ว" แต่กำไรที่จะได้ก็มีจำกัด วัดกันไม่ได้กับก๊วนปั่นที่มีต้นทุนตุนไว้ต่ำกว่าและ รู้จังหวะในการขายที่ราคาสูงกว่า

เพราะเป็นผู้ควบคุมราคาเอง!!

แต่ที่อันตรายกว่านั้น คือรายย่อยที่ได้กำไรแล้ว "ติดใจ" ขายออกไปแล้ว แต่ยังเห็นราคาวิ่งต่อได้ จึงกลับเข้าไปรับใหม่ในราคาสูงกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นช่วงไม้สุดท้าย ที่ก๊วนปั่นเริ่มทยอยออกของแล้ว

สุดท้าย ผลพวงจากการ "ติดใจ" กลายเป็น "ติดหุ้น" ทุนหายกำไรหด!!

แต่ขอเตือนว่า ตลาดหุ้นปี 2547 แม้ทุกสำนักวิเคราะห์จะฟันธงว่าดัชนีหุ้นยังไปได้ต่อว่ากันไปถึง 800-900 จุด แต่ดัชนีจะสวิงแกว่งตัวขึ้น-ลงผันผวนมาก และการลงทุนในระดับดัชนีที่สูงกว่า นอกจากจะเล่นยากแล้ว ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นไปด้วย การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น ผสมโรงไล่ราคาตามข่าวลือ เหมือนวิ่งลงหลุมพรางที่ก๊วนปั่นขุดล่อเอาไว้ โอกาสบาดเจ็บขาดทุนจึงมีมากกว่าที่จะได้กำไรติดปลายนวม ถ้าไม่แน่จริง ไม่ทันข่าว ไม่ทันเกมส์...อย่าดีกว่า

แต่ถ้าคิดว่าเจ๋งจริง...และยอมรับความเสี่ยงที่สูงได้ ก็ลองวัดดวงดู!!!

No comments:

Post a Comment

SAA Consensus หุ้นที่มีการ update วันนี้

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ ภาวะตลาด

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ เทคนิค

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ หุ้นรายตัว

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ พิเศษ

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ หุ้น IPO

กรุงเทพธุรกิจ - ธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจ - การเงิน - การลงทุน