Saturday, March 31, 2012

DSM Concept Version 3 : บทความพิเศษ ตอนที่ 1 – เปิดใจนักลงทุนหุ้นDSM

โครงการครบรอบก่อตั้งคลับเพื่ออิสรภาพทางการเงินคบ 1 ปีพอดีได้ให้นักลงทุนหุ้นแบบDSM ได้ให้คำแนะนำ ต่างๆ จากประสบการณ์หนึ่งปีที่ผ่านมามีดังต่อไปนี้

1.ดะเชา
ข้อคิดที่ได้... ทำในสิ่งที่เราถนัดและมีความสุข ทุกอย่างมันก็จะราบรื่น ถึงมันจะมีอุปสรรคบ้างแต่มันก็ไม่ยากเกินแก้ไข
ข้อแนะนำ...อยากให้อดทนกับสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้อย่าพึ่งท้อ ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดยังไงก็เอามาเป็นบทเรียนแล้วเริ่มใหม่
ข้อเตือนใจ...อย่าไปยึดติดกับคำพูดของคนอื่นมากจนเกินไป จนทำให้ลืมความเป็นตัวของตัวเองไม่มีความคิดอะไรที่ดีสุดโต่งหรือแย่สุดขีดหรอกน่ะ ค่อยคิดค่อยทำแล้วจะดีเอง “ความสุขอยู่ที่เรากำหนด ไม่ใช่คนอื่น”


2.เต่าหยวนเปียว
เวลาผ่านไปเร็ว นี้ใกล้ครบรอบ 1 ปี คลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน นั่งคิดอยู่ว่าจะเขียนอะไรดี หากเป็นชิ้นเป็นอัน คงทำไม่ได้ดีนักเอาเป็นว่า ข้อคิดจากการลองทำแนวทางนี้มา 1 ปีเศษๆ ทำไมผมถึงบอกว่าแนวทางนี้ เพราะว่าผมไม่ได้ทำตามกฎ DSM เป๊ะๆ ไม่ได้ซื้อขายตามสเตป ผมต้องฝ่าฟันกับความคิดที่สับสนและหมกหมุ่มกันการหาว่าช่องว่างคืออะไร และคิดว่ามีอะไรที่ผมยังรู้ไม่เท่าคุณเด่นศรีหรือเพื่อนคนอื่นๆ
ถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าช่องว่างที่ว่าคืออะไร แต่ในสมองผมไม่ได้เที่ยวหาคำตอบ หากแต่ได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์มาก กล่าวคือ “ช่องว่างคือสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวันจบสิ้น” ต้องคิดค้นไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่คือช่องว่างในจินตนาการของผม ต่างไปจากต้นกำเนิดอย่างสิ้นเชิง
ดีใจและรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง ที่เวบบอร์ดหุ้นยังมีบุคคลอย่างเช่นคุณเด่นศรี และอีกหลาย ๆ ท่าน ได้บรรลุถึงหัวใจหลักของนักลงทุน กล่าวคือ “นักลงทุนที่แท้จริงเป็นผู้ให้ ให้กับคนหมู่มาก ยิ่งให้ยิ่งได้รับ”
พอร์ตลงทุนหุ้นของผม ณ ปัจจุบัน ก็ยังคงได้อาศัยความรู้จากแนวทาง DSM ในการบริหารพอร์ต จนผ่านพ้นมาได้ด้วยดี และคงต้องพัฒนาต่อไป ผมเองไม่ได้รีบเร่ง ของเพียบแต่มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายทุกขณะ

ข้อคิดที่ดีของผม
1. สร้างทรัพย์สินที่ดีแม้ในภาวะน่าเบื่อสุด ๆ คือต้อง “อดทนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเป้าหมาย”
2. มีหลักการ แต่ไม่ยึดติดหลักการ คือ “เป็นตัวของตัวเอง เชื่อในสามัญสำนึก”
3. คนอื่นมีอะไรที่ดีกว่าเราเสมอ หากตั้งใจมองค้นหาก็จะเจอคือ “ต้องไม่หยุดพัฒนาเรียนรู้”
4. ตลาดหุ้นไม่มี ดังนั้น เจ้ามือไม่มี แมงเม่าไม่มี ไม่ต้องคาดอะไรทั้งสิ้น คือ “ไม่ติดกับดักอารมณ์ตลาดและดักเงินตรา”
5. ต้องเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คือมี “อิสรภาพที่แท้จริง”


3. Moon (wonderchoice)

ครบ1ปีแล้วหรือนี่...DSM Club รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานเลย จากวันแรกที่ได้อ่านกระทู้ซ้อสี่ตั้งแต่อยู่ที่ห้องสินธร จนกระทั่งเฮียคลายเครียดตั้งชื่อให้ และคุณ Macro Art ได้ติดต่อกับทาง Pantip จนพวกเรามีคลับเป็นของตัวเอง มีผู้รู้มากมายหลั่งไหลกันมาที่คลับ จากคนจำนวนเล็กๆ ขยายเติบโตมาเรื่อยๆ แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่กัน ความรู้ต่างๆ ความผูกพัน ความเอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่เพื่อนๆ ในคลับมีให้กัน มันช่างยิ่งใหญ่มหัศจรรย์มาก โดยส่วนตัวแล้วยังไม่ได้ลงทุนในหุ้นมากมายนัก อยู่ในช่วงของการเรียนรู้การเล่นหุ้นว่าน่าจะเล่นแบบไหน เมื่อมาเจอ DSM จึงคิดว่าน่าจะเหมาะกับตัวเองมากกว่า สิ่งที่ได้รับจากคลับนี้จึงเป็นความรู้สึกที่ว่า เราสามารถมีความสุขตลอดเวลาไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง

เมื่อเราเล่นสไตล์ DSM และที่สำคัญนอกเหนือจากเรื่องหุ้นแล้ว เรายังพัฒนาการเรียนรู้ในหลายๆ เรื่องอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ ศาสนา การลงทุนในรูปแบบอื่นๆมุมมองความคิด เปิดวิสัยทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น คลับนี้เป็นคลับที่มีนักอ่าน นักเขียน นักคิด นักปฏิบัติอยู่หลายด้านมาก ในอนาคตคลับนี้น่าจะสามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนได้มากอย่างคาดไม่ถึง
จากคลับเล็กๆ อาจจะก่อตัวขึ้นกลายเป็นชมรม สมาคม สถาบันหรือมูลนิธิอะไรก็ได้ ใครจะไปรู้...จริงมั้ยค่ะ:)

ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมด้วยช่วยกันทำให้คลับนี้เกิดขึ้น อยู่จนปัจจุบันและต่อไปในอนาคต
ขอบคุณ ผู้รวบรวม บทความหรือน่าจะเรียกว่า…. “ของขวัญวันเกิด” สำหรับวันครบรอบ 1 ขวบคลับ DSM….ขอบคุณมากนะคะ

สิ่งดีๆ ความคิดดีๆ มากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต บางส่วนถูกจุดประกายมาจาก…DSM Club.

4. ITALY

เป็นความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ที่เจอมา ซึ่งอาจจะต่างจากเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ
แนวคิดต้องมาก่อน ถ้าอดทนเห็นมูลค่าพอร์ตแดงๆ ไม่ได้ ก็ไม่เหมาะสำหรับวิธีนี้
ในตลาดที่เป็นขาลง ให้ทยอยขาย แล้วเก็บเงินสดเอาไว้ รอซื้อตอนที่ราคาเริ่มงอขึ้น

การเล่นแบบโน๊ตดนตรี ไม่เหมาะกับหุ้นขาลง ในตลาดขาลงอาจจะมีบางตัวเขียว แต่ส่วนใหญ่จะเขียวได้ไม่นาน ถ้าเข้าซื้ออาจจะขาดทุนได้
ไม่ต้องกังวล ว่าจะซื้อคืนหุ้นที่ขายไปแล้วนั้นไม่ได้ ตราบใดที่ตลาดหุ้นยังมีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา
กระแสเงินสดแฝง 15-20 % ต่อครั้งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ถ้าเรารู้จักความอดทนรอคอย
ระบบบัญชี และแผนการที่เหมาะสม จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการทำ DSM

5. KoKoMan

ช้าๆ ได้พล่าเล่มงาม

สำหรับการทำอะไรซักอย่าง ก้าวแรกมีความสำคัญเสมอ และมักจะใช้เวลานานในการเรียนรู้ในตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างคนส่วนมากกว่าจะทำงานได้งานเดือน เดือนละหมื่นกว่าบาท ต้องเรียนกันตั้ง 10 กว่าปี ดังนั้นการเรียนรู้ DSM ก็เช่นกัน ควรให้เวลาในส่วนเรียนรู้มากๆ เพราะมันคงเป็นไปได้เหรอ ที่จะทำเงินมากมาย จากการเรียนรู้ DSM เพียงไม่กี่เดือน

ในช่วงแรกผมอยากให้ทุกคนคิดว่ากำลังอยู่ที่ช่วงการเรียนรู้ ดังนั้นเงินที่ใช้ในช่วงแรกต้องเป็นเงินเย็นมากๆ (พี่เด่นศรี ย้ำนักย้ำหนา ผมก็ต้องขอย้ำอีกที) ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และทดลองปฏิบัติ ไม่ควรต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งผมเคยถามพี่ Coyote ว่า ควรให้เวลาในการเรียนรู้นานเท่าไร พี่ Coyote ก็แนะนำว่า ประมาณ 3 ปี ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะสอดคล้อง กับที่พี่เด่นศรี ได้พูดไว้ว่า ช่วง 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาเก็บข้อมูลหรือหว่านเมล็ดพืช หลังจากนั้นจึงเป็นการเก็บเกี่ยวดอกผล

อีกทั้งในช่วงแรก ยังเป็นการค้นหาสไตล์ของตัวเอง เพราะแต่ละคนมีความชอบ และนิสัยไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรหาจุดเหมาะสมที่สุดของตัวเอง เช่น เวลาที่ใช้ในการดูหุ้น จำนวนหุ้นว่าควรมีกี่ตัว การออกแบบระบบบัญชี จังหวะในการขายและซื้อคืน การแปลงร่าง ฯลฯ ซึ่งจุดเหมาะสมนี้ ไม่ใช่จุดที่ทำกำไร หรือ กระแสเงินสด หรือ การเพิ่มจำนวนหุ้นได้มากที่สุด เพราะ ในความเป็นจริงเราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่า จุดมากที่สุด มันอยู่ตรงไหน “เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า” แต่จุดเหมาะสมคือ “จุดที่เราพอใจ” จุดที่เรารับได้ แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ตลอดไป

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ฟังดูเหมือนง่ายนะครับ แต่จากประสบการณ์ของตัวเองและเพื่อนๆ ที่รู้จัก ทำให้รู้ว่า ช่วง 3 ปีแรกนี้หละ เป็นช่วงที่ยากที่สุด เพราะว่าในช่วงนี้คุณจะไม่เห็นดอกผลหรือกำไร อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งหลายท่านอาจจะมีเพื่อนๆ ผู้ที่หวังดีกับเรา ค่อยถามอยู่เสมอว่า “ดือนนี้ได้กำไรเท่าไร ใกล้รวยหรือยัง” ซึ่งเป็นประโยคที่บั่นทอนกำลังใจของ DSMers มือใหม่ได้อย่างดีทีเดียว อีกทั้งเวลาทำไปเรื่อยๆ ซักพักเราอาจจะเริ่มลืมได้ว่า เรากำลังอยู่ใน “ช่วงเรียนรู้” ซึ่งจะทำให้เรารีบเร่ง กังวลกับผลลัพธ์ที่จะได้ หรือ มั่วเสียใจกับผลลัพธ์ที่เราไม่พึ่งประสงค์ จนลืม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงนั้น ดังนั้นในช่วงนี้ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า “ประสบการณ์สำคัญกว่าเงิน” เพราะเงินไม่สามารถซื้อประสบการณ์ได้ แต่ประสบการณ์สร้างเงินได้

ดังนั้นในการที่จะผ่านช่วงนี้ไปได้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจ DSM ให้มากๆ และเชื่อมั่นในแนวทางที่เรากำลังทำอยู่ ระลึกอยู่เสมอว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และการวัดผลที่ใช้ในช่วงนี้ต้องไม่เข้มข้นจนเกินไป เช่น ตั้งเป้าง่ายๆ ก่อนว่าตอนทำกระแสเงินสดแฝงเฉลี่ยให้ได้ปีละอย่างน้อย 1% เป็นต้น จากนั้นค่อยๆ ปรับปรุงไปที่ละเล็กละน้อย ไม่ต้องรีบร้อน

สุดท้ายนี้ผมก็ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้มาก เพราะผมก็ยังอยู่ในช่วงการเรียนรู้เช่นกัน และทั้งหมดที่ผมกล่าวมาก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น หรือ ถ้าตามหลักของงานวิจัยก็จะเรียกว่า “สมมุติฐาน” ซึ่งยังต้องรอการพิสูจน์ (อีก 2 ปี คงได้รู้กัน) ใครจะนำไปใช้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิจารญาณของแต่ละบุคคล


6. ซวงซวง(ดาว)

จากประสบการณ์หนึ่งปีของตัวพี่ดาวเองที่ทำ DSM มา
ตัวเองได้ประสบการณ์หลายๆอย่างจากการทำ DSM ได้เพื่อนๆที่น่ารัก เจ้าสำนักก็ใจดี น้องๆที่น่ารักอีกหลายคนเลยค่ะ การทำ DSM จริงๆเป็นเรื่องง่ายมาก แต่คนเราจะบังคับตัวเองให้ทำตามกฎ DSM ไม่ค่อยได้ เกิดจากความโลภและความกลัวรวมกันค่ะ บ้างที่ก็คิดกระบวนท่าที่แปลกและแตกต่างออกไปแต่จริงๆ แย้วสุดยอดวิชาคือ DSM BASIC นั่นแหละค่ะ อย่างตัวพี่ดาวเองก็เพิ่งจะเริ่มเข้าใจในดี DSM จริงๆ ก็ตอนที่ได้อ่านบทความที่ได้รวบรวมไว้ การทำ DSM ก็ต้องใช้เวลาที่จะทำความเข้าใจกับDSM ค่ะพี่ดาวเองก็ใช้เวลารวม1 ปีค่ะกว่าจะเข้าใจ หัวใจสำคัญของDSM คือทำให้ได้ตามที่เราวางไว้แดงให้ขาย เขียวซื้อ วางกำหนดจุดรับคืนที่เท่าไร เมื่อหุ้นตัวที่เราซื้อขึ้นไปควรทำอย่างไร บ้างครั้งเราเสียหุ้นไปจนเหลือน้อยแต่หุ้นก็ยังขึ้นไม่ยอมหยุด อิอิ ให้คาถาค่ะ “หุ้นขึ้นมีหุ้น หุ้นลงมีเงิน” อิอิ เหมือนง่ายแต่ยาก อิอิ บ้างที่เราดูเหมือนว่าง่ายๆๆ พอทำจริง สำหรับคนที่ทำใหม่ๆ พอเริ่มแดงก็เริ่มขาย ยิ่งตกก็ยิ่งตกใจ มูลค่าพอร์ตลดลง จิตใจก็ไม่สบาย พี่ดาวอยากให้คาถากำกับค่ะ “แดงขาย เขียวซื้อ” หุ้นจะตกก็ยิ้ม หุ้นจะขึ้นก็หัวเราะค่ะ ยึดแค่ตรงนี้ก็พอค่ะ ส่วนตัวพี่ดาวก็ได้วิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นได้อ่านหนังสือที่พี่ๆๆแนะนำก็ทำให้ตัวเองมีวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นค่ะ ครบ 1 ปีของคลับให้ คลับ DSMโตๆๆขึ้นเลยๆๆค่ะ


7. Vprawat

“หุ้นขึ้นมีหุ้น หุ้นลงมีเงิน” และ “หุ้นขึ้นกล้าซื้อ หุ้นลงกล้าขาย”

ตั้งแต่ได้พบกับ DSM ก็ได้พบหนทางที่ หามา คือ “สร้างรายได้จากหุ้น” อย่างสม่ำเสมอ แถมได้มากกว่าที่ต้องการอีก คือ รายได้ที่ได้ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมั่วๆ หรือ ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ได้ความสบายใจ ไม่กลัวที่จะพลาด เพราะ มีพี่ๆ ที่แสนดี ให้คำปรึกษาอยู่เสมอ

ขอให้ มีความเชื่อมั่นนะครับ ถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะไปเชื่อใคร ครับ อิอิ


8. ลำชี

ผมมอง DSM เป็นเหมือน ปรัชญาการลงทุน การทำธุรกิจ อะไรสักอย่างที่ใกล้เคียงที่สุด ก็เป็น พวกร้าน เช่าหนังสือ หรือ วีดีโอ ถ้าเรามอง DSM เหมือนธุรกิจ พวกนี้ได้ ผมถือว่า มีความเข้าใจแนวทางนี้ พอสมควร

9. luckyinter

ตอนนี้สำหรับตัวข้าเจ้าเองวิธีการต่าง ๆ คงไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว ไม่ว่าจะลงกี่ช่อง ขายที่ราคาเท่าไหร่ จะซื้อเมื่อไหร่ กองกลาง กองหน้า กองหลัง ไม่สำคัญแล้วจริง ๆ เหมือนที่พี่เด่น พี่พ่อบ้าน พี่นินจา พี่ซ้อสี่ พี่กุ้ง พี่วิถีพุทธ พี่คนล่าห่าน พี่งำงำ พี่ไร้แก่นสาร คุณสุมาเต็กโซ พี่ชราร่า คุณดะเชา ขอโทษทีค่ะจำไม่หมด ที่บอกว่า “ทุกอย่างอยู่ที่ใจ” กระบวนท่า(วิธีการ) ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคน ทำอย่างไรก็ได้ให้ “ขายแพงกว่าซื้อ” (ไม่ใช่ซื้อถูกขายแพงนะคะ...แบบนั้นเป็นนักเก็งกำไรทั่วไปไม่ใช่ DSM ซึ่งเป็นส่วนผสมของนักลงทุนและนักเก็งกำไร)
แต่สิ่งที่คิดว่าสำคัญในการทำทุกอย่างไม่ว่าจะทำ DSM หรือการดำรงชีวิตประจำวันก็คือ “สติ” การที่คนจะมีสติได้นั้นต้องฝึกฝน เมื่อมีสติแล้วเอาเฉพาะ DSM ก็แล้วกันนะค่ะ เมื่อมีสติแล้วก็สามารถควบคุมความโลภได้ รู้ว่าเราเข้าซื้อเพราะอะไร ขายเพราะอะไร มีแผนที่เตรียมไว้ ก็ให้ทำไปตามแผน ซึ่งแผนนี้เกิดจากการสะสมข้อมูลจากการทำบัญชี ซึ่งพี่ ๆ ก็ทำไว้สุดยอดมาก สำหรับข้าเจ้าด้วยความเบาปัญญาจึงไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านทั้งหลายทำไว้เลยต้องใช้บัญชีที่ทำขึ้นเอง โดยดัดแปลงจากบัญชีที่เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายได้ทำไว้แล้ว
ในตอนแรกข้าเจ้าก็มองหาบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกันว่า มีสูตรอย่างไร ขายกี่ช่อง ขายเท่าไร อ่านทุกกระทู้ ดูทุกสูตรที่แต่ละท่านโพสบอก แต่พอลองทำแล้วมันไม่เหมาะกับตัวเอง ก็เลยต้องปรับให้เข้ากับตัวเอง
ข้อดีของการปวดหลัง ทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความสำคัญทำให้ฉันเดินนอนนั่งตัวตรงทำให้ฉันรู้ว่ามีคนห่วงใยฉันและที่สำคัญมีคนคอยนวดให้ด้วย อิจฉาเปล่า....อย่าคิดลึก...แม่...นวดให้น่ะ


10. wayu_w

การทำ DSM ของผมยังทำในกระดาษตามราคาตลาดจริงอยู่ครับ ทำมาประมาณ 1 เดือนครับ ยังไม่ได้ลงมือทำจริงๆ เลยครับ เลยไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดีอะคับ แต่ก็ยังอยากมีส่วนร่วมครับ เดี๋ยวนอนคิดก่อนครับ อ๋อ อีกนิดครับ ประสบการณ์ในตลาดผมยังไม่มีเลยครับ เพิ่งจะสนใจไม่นานนี้เองอะครับ แต่ที่ผมรู้อย่างหนึ่งที่ดีคือ “การไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นเลยทำให้สามารถ เข้า DSM ได้ง่ายมาก” เลยครับ แบบว่าพออ่านหลักการแล้วก็เข้าใจได้เลยครับว่าเหมือนกับการค้าขาย ที่รู้แต่รายรับ และรายจ่าย แต่ไม่รู้กำไร จะรู้ก็ต่อเมื่อได้รายได้กลับคืนมาเท่ากับเงินลงทุน ที่เหลือคือกำไร อิอิ


11. Iroiro

ประสบการณ์ยังไม่ครบหนึ่งปีเลยครับ แต่น่าจะครบ 1 เดือนได้เท่านั้นเองครับ แฮะๆๆๆๆ

ถ้าถามว่า ผมใช้ DSM ยังไงบ้าง ยอมรับครับว่า บอกยากจริงๆ ไม่ใช่ว่า ผมมีเทคนิค ลึกล้ำอะไรนะครับ แต่ผมเอาหลายๆอย่างมารวบกันครับ จะว่าไป เรียกว่า เป็ดก็ได้ครับ บินได้แต่ไม่สูง ว่ายน้ำได้ แต่ไม่เร็ว เดินได้ แต่ไม่ไว ครับ นั่นคือ ผม ผมรวมเอาทั้ง VI , DSM และ TA มาใช้ครับ รวมทั้ง ดูอารมณ์ตลาด บวกการคาดเดา มันก็เลยมาเป็นแบบของผมครับ ก็คงผิดกฎบ้างครับ แฮะๆๆๆ หวังว่า ทั้งท่านเจ้าสำนัก อาจารย์ ลุงป้า ศิษย์พี่ และ ศิษย์น้อง (ไม่รู้มีป่าว อุอุอุ) จะทำเป็นมองมะเห็นกันนะครับ แฮะๆๆๆ

ขอบอกก่อนครับว่า ผลที่ได้ ก็ไม่ถึงกับน่าประทับใจมากครับ แต่บอกได้ว่า มีผลต่อดีหลังจาก นำ DSM มาปรับใช้ครับ (ผมเรียนรู้ทั้ง DSM และ TA ในเวลาเดียวกัน และ นำมาใช้พร้อมๆกันครับ บวกแนว VI แต่เดิมครับ)

ผมใช้ DSM สำหรับหุ้นขาลงเท่านั้นครับ อาจจะเป็นเพราะ จังหวะที่ผมทำ อยู่ในช่วงขาลงพอดี ก็เลยเห็นผลชัดเจนครับ แต่ยังไม่ได้ทำกับหุ้นขาขึ้นเลย เพราะมันกำลังขาขึ้น ก็ Let profit rum ไปครับ จนกว่าจะเจอแนวต้าน แล้วไม่ไหว จากนั้นก็ตัดสินใจอีกทีครับ โดยใช้ DSM อีกที หรือ อื่นๆ ในการพิจารณา

ส่วนตัวครับ มอง DSM ว่าเป็น Short against port ทั่วๆไปครับ ซึ่ง ทำให้กล้าที่จะช๊อตมากกว่าไม่ใช้วิธีนี้ครับ แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเรานำข้อดีของแต่ละวิธีมาปรับใช้ให้เหมาะกับเรา นั่นแหละครับ น่าจะเป็นทางออกของนักลงทุนทุกคน

อย่างที่ผมเคยโพสถามพี่ๆ ในนี้ และพี่ๆในนี้ ได้เคยบอกว่า “ทำแล้ว ก็เรียนรู้จากข้อผิดพลาด” สำหรับผม นั่นหมายถึง ไม่มีอะไรที่เป็นแบบแผนแน่นอน เพราะต้องปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

โดยส่วนตัว ตราบใดที่เราทิ้งไปไม้หนึ่ง ถ้าพี่ๆหรือใครๆจะรู้สึกอะไรซักอย่างหนึ่ง (เหมือนผมหรือป่าวน้า) นั่นคือ ความปลอดภัย (ของพอร์ต) สำหรับผม ผมรู้สึกอย่างนั้นครับ


12. น้องเบลล์กินขนุน

ได้อ่านกระทู้ของพี่เด่นศรีกับซ้อสี่เมื่อปีที่แล้ว ช่วงนั้นผมยังไม่ได้เล่นหุ้นเลยครับ ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นกับแนวคิดและอยากรู้คำตอบว่าช่องว่างคืออะไร เลยติดตามอ่านมาเรื่อย ๆ เพื่อให้แตกฉานทางความคิด นับถือน้ำใจพี่น้องคลับฯ เสียดายที่ไม่เคยได้ร่วมกิจกรรมที่จัดเลยครับเพราะต้องเดินทางบ่อยตามงาน(หวังว่าจะได้เข้าร่วมด้วยสักวันครับ) ประสบการณ์นั้นผมคงมีไม่มาก เพราะบางช่วงทำตามแผนบ้างบางช่วงก็ไม่ได้ทำ เลยวัดผลไม่ได้ ยังไงก็จะติดตาม เกาะติด เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆไปเรื่อย ๆ ครับ

ตอนนี้ผมกำลังดูแลพอร์ตอยู่ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กครับ ส่วนตลาดไทยให้แฟนเป็นคนดูแล
ตลาดหุ้นที่นั่นใหญ่ และมีตัวเลือกให้เราเล่นเยอะครับ ถ้าใครสนใจจะไปลงทุนในตลาดที่นั่น
ผมยินดีให้คำปรึกษาวิธีการเปิดพอร์ตครับ

13. Cpiya

เกริ่นก่อนครับ ผมเพิ่งเริ่มใช้ DSM มาประมาณ 4-5 เดือนเอง อยากมาเล่าประสบการณ์อันน้อยนิดนะครับ

ตอนเริ่มต้นทดลอง DSM
วิธีอะไรหว่า .... ปวดหัวชะมัด ลงขาย ขี้นซื้อ งงๆ อ่ะ แดงขาย เขียวซื้อ…โอยจะบ้ารีเปล่า ลองดูวะ มันแปลกดี เวลาแดงครั้งแรกก็ขาย ไม่ยากอะไร เดี๋ยวก็ซื้อคืน…เรายังมีอีกตั้งเยอะ พอเราขาย มันลงอีก เออ…ลงไปเรื่อยๆนะ แช่งมันเข้าไป ถึงจุดขายอีก เอ…ขายดีไหมหว่า ลังเลจัง…
เฮ้ย… ลังเลไปๆมาๆ มันดันรูดลงไปอีกอ่ะ ทำไงดี หน้ามืด ขายเลย พอเราขาย… มันดันขี้น เฮ้ยทำไงดี… เย็นไว้โยม…แน่จริงวิ่งไปเรื่อยๆดิ มันดันไม่วิ่ง… กั๊กอยู่ตรงนั้น ซื้อคืนดีไหมหว่า… จะซื้อคืนก็สงสัยกฎ 3 ข้อ เอตอนนี้เราจะตามกฎไหนดีหว่า

1. ซื้อคืนเมื่อราคาต่ำกว่าที่ขาย ประมาณ 5 ช่อง
2. ซื้อคืนเมื่อซื้อกลับมาได้รวดเดียว 3 ราคาที่ขายไป
3. ซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง ค่อยเข้าซื้อ

มันเข้าข้อหนี่งข้อเดียว มันเขียวแหม่งๆอ่ะ คิดไปคิดมา…ลังเลอีกตามเคย
เฮ้ย… เผลออีกที วิ่งไปแล้วซื้อคืนไม่ทันอ่ะ โอยทำไงดี…เอมันไม่เห็นเหมือนกับที่ลองเล่นใน Excel เลย ทำไงดี เอา…ลองอีกที แดงขาย เออคราวนี้ขายเรื่อยๆเว้ย มันลงเป็นล่ำเป็นสันเลย
เอ ขายไป 3-4 ไม้ เฮ้ย มันทำท่าจะเขียว…เร็วรีบซื้อคืน ไม่ต้องคิดมาก เฮ้ย พอเราซื้อคืน มันดันดิ่งลงเลยอ่ะ ลงได้ลงไป… ขายต่อก็ได้วะ
มาร์เค้าถามว่า “เล่นหุ้นเอาเคล็ดเหรอเพ่ ขายถูกแต่ซื้อแพง” เออว่ะ……สงสัย เล่นสะเดาะเคราะห์
พอขายอีก มันวิ่งโลดเลยยาวโลด กลับไปที่เดิม อ้าวดันเหลือหุ้นน้อยทำไงดีหว่า……….
เอ้า เฮ้ยมันท่าทางจะแดง แอบไปดู Technical แล้วสัญญานลงมาแล้ว อิอิ ไม่ต้องคิดมาก ขายหมดเลย ไปซื้อคืนตอนลงดีกว่า อ้าวไหงสะเดาะเคราะห์แล้วทำไมดวงไม่ดีขี้นอ่ะ พอขาย มันวิ่งต่อ ยาวเลย หมดมือแล้ว ทำไงดีอ่ะ บ้าๆบอๆจังเรานี่

ขณะปัจจุบัน ไม่สนแล้ว “อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต” ตลาดเป็นไงไม่สน หุ้นตัวไหนก็ไม่ยึดติด
เอาเป็นว่า ขายให้แพงกว่าซื้อเป็นใช้ได้ แดงขาย เขียวซิ้อ ก็แล้วกัน อิอิ ไม่เครียดดี
ผลตอบแทนก็กระแสเงินสดแฝง ก็นิดหน่อย 2-3% แต่สบายใจครับ

14. Minibar

คลับมีอายุครบหนึ่งปีแล้ว แต่ผมทำ DSM จริงจัง ประมาณ 6 เดือน เรียกว่า มาครึ่งทาง พอดี

ข้อความและเนื้อหา ต่อไปนี้ บางอย่าง อาจเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งอาจไม่ถูกต้องตามหลัก หรือ ตามกฎเกณฑ์ หนัก ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณส่วนตัว ด้วยนะครับ อิอิ

ผมเริ่มต้นกับ DSM กับหุ้น ทีละตัว และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนหุ้น เพื่อที่จะได้สนุกมากขึ้น ในมุมมองผมเอง DSM เป็นการทยอยขาย และ ทยอยซื้อ ซึ่งเรียกว่า “ลดความกดดันต่อความกลัวและความโลภ” ได้ดีทีเดียว วิธีนี้คงไม่ใช่วิธีที่สามารถทำกำไรได้สูงที่สุด (ผมพูดคำว่า กำไรอีกแล้ว เอ ... มันตัดกันไม่ขาดจริง ๆ) แต่ ด้วยวิธีการและแผนการที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้ผมสามารถ สั่งซื้อ สั่งขายได้ โดยแทบไม่อึดอัดเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ทุกครั้งที่เราซื้อหุ้น(ไม่ว่า จะ เขียว หรือแดง จะถูกหรือแพง) เราก็มีความหวังเล็ก ๆ ว่า หลังจากนั้น หุ้นจะขยับราคาขึ้นไป ให้เราชื่นใจ แต่ถ้านายตลาดกลับไม่ทำดังที่เราหวัง เราก็ยังตัดเนื้อร้ายเล็ก ๆ ทิ้งออกไป (เพื่อรอวัน ที่มันกลับเป็นเนื้อดี แล้วเราค่อยเรียกกลับคืนพอร์ตเรา พร้อมเงินค่าชดเชยการหยุดพัก ให้เราอีก)

ผ่านมาได้ 6 เดือน ผมพิจารณาดูมูลค่าพอร์ท สิ่งที่ผมพบ ก็คือ ว่า …. ผมผิดกฎ ครับ กฎบอกแล้วว่า ห้ามสนมูลค่าพอร์ท แต่ผมดันทะลึ่ง ไปแอบดูอีกแล้วยังแถมมีอารมณ์กับมูลค่าที่เห็นอีก ณ วันนี้พอร์ทผมยังติดลบ อยู่หลายสิบเปอร์เซ็นต์ทีเดียว ถ้าถามว่า แล้วกลัวไหมครับ กลัวครับ เสียวไหมครับ เสียวครับ สู้ไหมครับ .. สู้ โว๊ยยยยยย

ทำไม ผมยังกลัว ยังเสียวครับ ... โถ ไม่มีกฎห้ามนี่ครับ 55555 ผมจำกฎ ได้แม่น ๆ 2 ข้อ เอง คือ
1.ห้ามเดาตลาด
2.ซื้อให้ถูกกว่าขาย

ฟังดูง่าย ๆ แต่ทำไม๊ ทำไม ทำยากชะมัด ซื้อให้ถูกกว่าขายเหรอ ใคร ๆ ก็รู้ ใคร ๆ ก็อยากทำทั้งนั้น แต่ปัญหาคือ เราขายก่อน ค่อยซื้อทีหลัง เราขายแล้ว เราจะซื้อคืนได้เหรอ แต่เนื่องจาก เราไม่รู้อนาคต และห้ามเดาตลาด ก็ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ว่าไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ กฎให้ขาย เมื่อหุ้นลงทุก ๆ 2 ช่อง (บางคน อาจเป็น 3, 4 หรือ อื่น ๆ) และซื้อคืน เมื่อหุ้นเริ่มหักหัวขึ้นมา 3-5 ช่อง

สรุปว่า ถึงวันนี้ ผมรู้แค่นี้เอง และผมแค่ (พยายาม) เดินตามกฎ ไปเรื่อย ๆ และผมหวังว่า สักวันหนึ่ง เราจะโต๊ เราจะโต ..

เคล็ดวิชา
หุ้นก่อนขึ้น ต้องขึ้นก่อน
หุ้นก่อนลง ต้องลงก่อน

แปลได้ว่า
หุ้นก่อนขึ้นมาก ต้องขึ้นน้อยก่อน
หุ้นก่อนลงมาก ต้องลงน้อยก่อน

ก่อนจบ ผมฝากคำถาม 2 ข้อ
1. วันนี้ (ที่คุณกำลังอ่าน) คุณกล้าขายหุ้น ล้างพอร์ทหรือเปล่า
2. คุณว่าเงินกับหุ้นอะไรสำคัญกว่ากัน

ผมรู้สึกว่า ข้อ 1 และ ข้อ 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง เป็นแนวทางการแก้ไขพอร์ทด้วย ลองคิดดูล่ะกัน ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ขอบคุณครับ ที่ทนอ่านจนจบ


15. งำงำ
หัวเราะทีหลังดังกว่า

ถ้ามีคนถามว่าเรากำไรหรือขาดทุน
ช่วงหุ้นตก เราก็ต้องบอกขาดทุน
ช่วงหุ้นขึ้น เราก็ตอบกำไร

เห็นไหมครับโดยทั่วไป กำไรหรือขาดทุนไม่แน่นอนแล้วแต่สถานการณ์ ของตลาดว่า กระทิงหรือหมี แต่หลังจากใช้ DSM แล้ว ก็เหมือน น้ำซับบ่อทราย (ภาษาทางธุรกิจ อิอิ) เก็บกินเรื่อยๆ พอกินพอใช้ แต่มีใช้ไปนานๆ ไม่มีหมด เพราะ ฉะนั้น เราจึงหัวเราะทีหลังดังกว่าครับ เพราะต้องเก็บเล็กผสมน้อย ให้มันเพิ่มๆ ไม่มีลด อิอิ ยิ่งผ่านไปๆ เสียงหัวเราะเราก็จะดังขึ้นครับ

ส่วนเวลาเล่นถ้าเราตัดสินแพ้ชนะที่ มูลค่าพอร์ต ก็คงยากครับ ที่จะทำให้ การตัดสินใจเราถูกตลอดชนะตลอด มันก็ต้องมีแพ้บ้าง แต่บางที เราแพ้หมดหน้าตักนี่ซิครับ ทำให้เราตาย DSM จะมาช่วยให้เราไม่แพ้หมดหน้าตักนี่ละครับ แล้วก็แบ่งผลแพ้ชนะให้เราเห็น เป็นกำลังใจ เช่น ซื้อหุ้น A ติดยอดดอยอยู่ พอลงดอย เราซื้อหุ้นเพิ่ม เราเอาไปเฉลี่ย ก็จะลงดอยมา นิดเดียว จิตใจก็ไม่ดีอดทนกับไปยอดดอย แต่ถ้า DSM เราคิดผลกำไร เป็นชุดๆ ทำให้ รู้สึกว่า มีชัยชนะ ครับ ส่วนการแพ้ ก็เป็นบทเรียนไปปรับปรุงแก้ไข ไม่เหมาะรวม ว่าหุ้น ตัวนี้เราแพ้ ทั้งๆมี ชัยชนะในการพ่ายแพ้

16. คนชื่อนินจา
“บริหารพอร์ตอย่างมีความสุข”

หุ้นเป็นส่วนหนึ่งสร้าง “ความมั่งคั่ง” ให้กับคุณได้จริง
หุ้นเป็นส่วนหนึ่งสร้างคุณค่ามากกว่าคำว่า “ร่ำรวย”
ความมั่งคั่งขึ้นอยู่กับ “การตัดสินใจ” ของตัวคุณเอง

“เงิน” เป็นสสารอย่างหนึ่ง ที่มีการหมุนเวียนและแลกเปลี่ยนได้
“เงิน” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงจรสินทรัพย์
“เงิน” ทำหน้าที่และเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

“นักลงทุน” จึงต้องแยกตัวอิสระออกมา
เพื่อตัดสินใจกระทำการต่างๆ
ให้กลมกลืนกับธรรมชาติของวงจรแห่งความมั่งคั่ง

17. apiwat

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากDSMขอบคุณคุณเด่นศรี และผู้ช่วยบุกเบิกทุกท่านที่ทำให้เกิดวันนี้

Dsmers ต้องมีวินัยมากๆ และต้องมีระบบบัญชีที่ดี ถึงจุดต้องขายแล้วต้องขาย ถึงจุดซื้อแล้วต้องเข้าซื้อ อย่าปล่อย Port ไว้เฉยๆ ต้องออก Exercise ทุกวัน หากหุ้นไม่เพิ่มมูลค่าขึ้น Port ก็ต้องโต...

ขณะซื้อ ขณะขาย มีสมาธิ จิตรู้ จิตตื่น อารมณ์สบายๆ ไม่กังวล ยังไงก็ได้
สบายใจทั้งขาขึ้นและขาลง

18. วิถีพุทธ

ชีวีไม่คอยท่า กาลเวลาไม่คอยใคร
คุยกันหลัดหลัดไซร้ คลับนี้ได้หนึ่งขวบปี

คิดว่าชาว DSM ณ ปัจจุบัน คงจะมีความเข้าใจในสถานการณ์นี้แล้วระดับหนึ่ง สำหรับผมถึงแม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆก็เถอะ เพราะยังต้องใช้กาลเวลาศีกษาเรียนรู้อีกมาก ยังเสียดายแทนเพื่อนอีกคน ที่ผมพยายามจะให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเล่นขาลง ยอมที่จะอยู่บนดอย รอคอยปีแล้วปีเล่าเมื่อSETลงต่ำก็ต้องเพิ่มเงินทุนลงไปอีก หากกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง“ใจ” เท่านั้นครับ
ขอให้ชนะใจตนเองให้ได้ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมการซื้อหุ้นสำหรับผมแล้วมี 2 ลักษณะ คือ
1.เปรียบเสมือนร้านทอง ซื้อมาแล้วเหมือนการลงทุน และเมื่อขายทองออกแล้ว ให้ซื้อกลับคืนมาให้ได้ อย่าให้น้ำหนักทองลดลง ส่วนต่างก็เป็นกระแสเงินสดแฝง หรือ
2.ในรูปลงทุนธุรกิจที่เราชอบ เข้าใจในธุรกิจนั้น มีผลประกอบการที่ดีด้วยยิ่งดี เผื่อสำรองอาจเป็นมรดกให้ครอบครัวได้ (เพื่อความไม่ประมาท) ถ้ายิ่งเข้าใจว่าบริษัทอยู่ในสถานะภาพใดได้ยิ่งดี 1. Dog 2. Question Mark 3.Star 4. Cash Cow

ส่วนการซื้อขายนั้น แล้วแต่จังหวะและโอกาส ตามแต่สถานการณ์ มีทั้ง Trading, Swing Trading หรือ Buy & Hold มีทั้งเครื่องมือ Indicator ด้วยโดยรวมแล้วเป็นใช้แบบผสมผสานมากกว่าแต่ข้อสำคัญ คือ การขายที่สูงซื้อกลับราคาที่ต่ำกว่า เล่นขาลงให้เป็น หุ้นมีสภาพคล่องสูงเก็บหุ้นเพิ่มให้ได้ตามเป้าสร้างฝูงวัว ต่อด้วยฝูงแพะ แกะ เป็ด ไก่ จนสุดท้ายเป็นฝูงช้าง ฝูงม้า และเป้าหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับอิสรภาพทางการเงินคือ อิสรภาพแห่งชีวิตครับ

19. ขวัญชัย

ประสบการณ์DSM และ ข้อแนะนำเตือนสติ
สำหรับผู้เข้ามาศึกษาใหม่พลิกนิดหน่อยจากที่คุณเป็น DSMER ได้เหมือนกัน

“ซื้อก่อนแล้วขายในราคาที่สูงกว่า”....หุ้นคุณหมด คุณได้เงินทุน+เงินส่วนต่าง
“ขายก่อนแล้วซื้อในราคาที่ต่ำกว่า”....หุ้นคุณเท่าเดิม คุณได้เงินส่วนต่าง
“ทั้งสองวิธีเหมือนกันที่ซื้อราคาต่ำกว่า ขายราคาสูงกว่า”
“สองวิธีนี้ ต่างกันตรงที่ วิธีหนึ่งได้เงินทุนคืน หุ้นไม่เหลือ วิธีที่สอง หุ้นยังมีเหลือเท่าเดิม”

จากการที่ได้ติดตามไอเดียการเทรดหุ้นแนวทางคุณเด่นศรี มาประมาณ 1 ปีเศษ ก็รู้สึกประทับใจในความสามารถคิดค้นวิธีการเอาชนะการลงทุนในตลาดหุ้นได้ ผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลจริงครับ ผมเคยคิดเป็นลางๆในใจ แต่พอได้มาศึกษารายละเอียดที่คุณเด่นศรีโพสในกระทู้ภาพในความคิดก็ชัดเจนได้คำตอบข้อสงสัยที่มีในใจครบทุกข้อ ดังนั้นผู้ที่เข้ามาศึกษาวิธีการนี้ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการคือความสำเร็จในการลงทุนแต่การอ่านอย่างเดียวไม่พอ ต้องบวกด้วยการฝึกฝนลงมือทดลองปฏิบัติจริงๆ เพื่อจะแก้ไขปัญหาที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนกับทุกคนที่ปฏิบัติ(ไม่ต้องกลัว)ว่าจะไม่เจอปัญหาครับเจอแน่ ความผิดพลาดแต่ละครั้งที่พบ เมื่อเราเอามาแก้ไขมันก็จะสำเร็จขึ้นมาได้

วิธีการดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยาก ถ้าทำยากๆซับซ้อนอาจไม่สำเร็จ ถ้าทำแบบง่ายๆกลับประสบความสำเร็จครับ คือจิตใจ ที่ไม่โลภ ยังไงก็ต้องสำเร็จ ได้มาก ได้น้อย ไม่สำคัญ ถ้าสะสมไปก็ถือว่าก้าวหน้าไม่ถอยหลังก็นับว่าควรพึงพอใจนะครับ เหมือนน้ำหยดที่ละหยดรวมกันก็ล้นตุ่มได้นะครับหรือเปรียบเหมือนเต่า ก้าวที่ละน้อยแต่ขยันก้าวมันก็ได้ระยะมากขึ้นเองครับเมื่อชำนาญมันก็เหมือน เต่าใส่สเก็ตได้เหมือนกัน
..................."เอ้าสู้เว้ย"..............ขอเป็นกำลังใจให้อีก 1 เสียง ฮี่....ฮี่.....อิ...อิ....5 5 5 5


20. คนล่าห่าน
ขาดทุนก่อนขาดทุน
จาก ความคิดเห็นที่ 39 ของเฮียเต่าในกระทู้คุยโขมงภาคบ่ายที่ห้องสินธร

ทำให้ ”ปิ๊ง” ขึ้นมาเลยว่าการทำ DSM เนี่ย ถ้าคิดแบบ “ขาดทุนก่อนขาดทุน” ก็จะช่วยให้ทำ DSM ได้ง่ายขึ้นเหมือนกันนะ (เฮียเต่าล้อมาจากวลีคลาสสิคที่ว่า “ตายก่อนตาย” ของท่านพุทธทาส)

ทำไมต้องเป็นขาดทุนก่อนขาดทุน
ในกรณีที่ ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้นไป แต่กลับหักหัวลง เรามักจะลังเลไม่กล้าที่จะขาย เพราะความคิดเริ่มมุ่งไปยังผลขาดทุนที่เกิดขึ้น จนเมื่อสุดท้ายราคาลงไปจนลึกพอสมควรแล้วจึงจะยอมแพ้ และเริ่มขาย แต่พอขายไปปั๊ป คิดจะรับคืน ตามหลักก็ทำไม่ได้ เพราะจุดที่ยอมแพ้โดยมากมักจะเป็นจุดสุดท้ายที่ปลายเหว ราคาลงไปอีกไม่เท่าไรก็ดีดขึ้น ตกลง เมื่อคิดได้ก็สายซะแล้ว เงินก็น้อย หุ้นก็หมด เกิดเป็นผลขาดทุนจริงที่มาปลอบใจด้วยการทนเหนื่อยทำ DSM อีกหลายรอบจนกว่าจะได้กำไร

ดังนั้น “ต้องยอมขาดทุนก่อนขาดทุน” โดยยึดหลักที่ว่าต้องขายเมื่อหุ้นเริ่มตก (ตาม Step และจุดสังเกตของแต่ละคน) จนถึงจุดที่จะรับซื้อคืนเมื่อหุ้นเริ่มดีดตัวขึ้น (ก็ตาม Step และจุดสังเกตของแต่ละคนอีกเช่นเดียวกัน) อย่างมีวินัย

“เมื่อเรายอมขาดทุนก่อนขาดทุน เวลาขาดทุนก็จะไม่ขาดทุน” เพราะเรายอมขาดทุนไปแล้วจึงไม่มองที่ตัวขาดทุนอีก ก็จะทำให้เราหันมามองที่จังหวะและจำนวนในการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถปรับปรุงจังหวะและจำนวนจนสะสมและเพิ่มเติมหุ้นไปตาม Step จนบรรลุวัตถุประสงค์ในแผนการของแต่ละคนได้ในที่สุด

นี่จึงเรียกว่า “ขาดทุนก่อนขาดทุน” ซึ่งหวังว่าจะเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ตัดใจจากการกังวลเรื่องผลขาดทุน แล้วมุ่งไปปรับปรุงที่วิธีการเพิ่มจำนวนหุ้นแทนได้ง่ายขึ้นนะครับ


21. ลุงเอิญ

DSM สร้างระบบ และมีเป้าหมาย แต่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผลมากมายที่มากระทบกับอารมณ์ของผู้ลงทุน ระบบที่ดีทำให้เราไม่ต้อง ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพียงแต่ทำตามระบบที่วางไว้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นหลังจากที่Trade ด้วยระบบDSM คือ ยังไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างแท้จริง แล้วรีบนำไปปฏิบัติและจะใช้อารมณ์ ความรู้สึก จึงทำให้ตัดสินใจผิดพลาด

22. BeSmile

ผมเริ่มต้น DSM จากการได้อ่านกระทู้ของคุณเด่นศรีและซ้อสี่ อ่านจบแล้วรู้สึกว่า เป็นแนวคิดในการลงทุนหุ้นที่ดีมาก แต่การเอามาใช้นั้น ขึ้นกับระดับความเข้าใจ และประสบการณ์ในการลงทุนในหุ้น

ส่วนใหญ่เรามักจะแลกความรู้หรือประสบการณ์ในการลงทุนหรือเรื่องอื่น ๆ ด้วยเงินและเวลา (ผมถือว่าเวลามีค่าดั่งทอง) ของเรา ซึ่งไม่ว่าคุณจะมีต้นทุนเรื่องเงินมากหรือน้อย (ทุกคนมีเวลาเท่ากัน) ไม่ใช่สิ่งสำคัญนักในแง่การลงทุน แต่แนวทางในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น นักลงทุนบางคนอาจต้องล้มเลิกออกไปก่อนที่จะพบเจอ ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวที่คุณเด่นศรีนำมาเปิดเผยนั้น ช่วยย่นระยะเวลาสำหรับใครบางคนที่ศึกษา และทำความเข้าใน DSM อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผ่านการพิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้ว ผมได้แต่หวังว่าทุกคนในคลับจะประสบความสำเร็จในการลงทุน


23. Windi

ข้อคิดข้อเตือนใจในการลงทุนหล่ะกัน

ข้อคิดอย่างแรก
สร้างแผนที่ดี แลัวทำตามแผน
แผนการที่สร้างขึ้นควรครอบคลุมเงื่อนไขหลายๆอย่าง ไม่จำเป็นต้องมากมาย อาจเป็นแค่
1. จะขายหรือจะซื้อหรือไม่ทำอะไรเลย
2. ถ้าขาย จะขายเท่าใด ขายเมื่อใด
3. เมื่อขายไปแล้วจะทำอะไรต่อไป
4. ถ้าซื้อ จะซื้อเท่าใด ซื้อเมื่อใด
5. เมื่อซื้อแล้ว จะทำอะไรต่อไป
ก็เพียงพอในการช่วยตัดสินใจ เมื่อเจอเหตุการณ์ในวันถัดไปแล้วและสุดท้าย เมื่อมีแผนที่ดีแล้ว อย่าลืมทำตามแผน

ข้อคิดอย่างที่สอง
ใช้เงินทำงานและอย่าลืมให้ลูกๆของเงินทำงานด้วย เมื่อได้กระแสเงินสดแฝงมาแล้ว อย่าลืมนำกระแสเงินสดแฝงกลับไปทำงาน โดยการเพิ่มจำนวนหุ้นด้วย ไม่จำเป็นว่าจะต้องนำกระแสเงินสดแฝงทั้งหมดไปเพิ่มจำนวนหุ้น แต่ขึ้นอยู่กับการใช้ของแต่ละคน อาจแบ่งสัก 25-50% ไปในการเพิ่มจำนวนหุ้นก็ได้ ให้ลูกๆของเงิน ทำงานออกลูกออกหลานเหมือนพ่อแม่ของมัน


24. ครูนางฟ้า

อยากบอกว่า ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่แฝงข้อคิด เนื้อหาสาระ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยเฉพาะ คุณซ้อสี่ ที่เป็นผู้นำในการถามไถ่ และขอบคุณ คุณเด่นศรี ที่มาตอบทุกข้อคำถาม และแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ เพื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ อีกครั้งกับคำว่า..ขอบคุณค่ะ

25. กระต่ายกับเต่า

โดยส่วนตัวผมมองว่า DSM คือการบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างหนึ่งโดยมีขบวนการคล้ายกับ “ช๊อตอเก้นพอร์ต” เพราะเท่าที่ทำให้เพื่อนฝูงดู เค้าก็จะบอกว่าเหมือนการช๊อตพอร์ตตัวเองธรรมดาๆนั่นแหละ… แต่อันที่จริงขวนการทั้งหมดนี้ถูกเราควบคุมดูแลโดยมี “ระบบบัญชี” คอยควบคุมดูแล ในการลงทุนด้วยแนวทางนี้อีกที… “ระบบบัญชี” เป็นสิ่งสำคัญมากๆ โดยที่ระบบนี้จะให้ความสำคัญไปที่ “กระแสเงินสดแฝง” พูดถึงนิยามของคำว่า “กระแสเงินสดแฝง” นี่ก็บอกให้เรารู้ และแยกแยะได้ว่าใครใช้ DSM ในการลงทุน เหมือนกัน…

อีกทีกับ “ระบบบัญชี” ผมเห็นว่าระบบบัญชีที่ดีจะคอยช่วยให้เราเห็นเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น….ก็ต้องขอให้ Credit คุณ เด่นศรีมากๆ ในเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่กล่าวถึง “ระบบบัญชี” ใครจะนึกเอาว่า มันก็แค่การช๊อตพอร์ตธรรมดาๆ! ฉะนั้นผมจะให้ความสำคัญกับ “ระบบบัญชี” เป็นอันดับแรก อยากจะสารภาพครับว่า จนถึงป่านนี้ผมก็ยังคงปรับปรุงระบบบัญชีอยู่…..

หลังจากมีระบบบัญชีที่ดีและมีประสิทธิภาพแล้ว … จากนั้นก็ค่อยมาว่ากันถึง “วิธีการ”
…ที่จริงไอ้ “วิธีการ” นี้แหละที่ผมสังเกตเห็นว่า มันตกเป็น จำเลย มาโดยตลอด จนต้องมีคนที่ไม่เข้าใจ คอยเข้ามาแสดงความเห็นขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆ แต่ก็ดีนะครับที่มีคนคอยมาแสดงความคิดเห็น เพราะหลังจากอ่านข้อคิดเห็นของเค้า...ผมก็จะได้อะไรดีๆขึ้นอีก จนได้ปรับปรุงตัวเองมาเรื่อยน่ะครับ...ผมจึงอยากขอบคุณเขา และก็อยากจะบอกให้เค้าลองเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิด ยอมลงทุนเวลาเรียนรู้ดูบ้าง บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรดีๆ อย่างที่คุณ เด่นศรี ได้เห็นก็ได้…หวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ

เข้าเรื่อง DSM ต่อครับ… จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเจอ อุปสรรค์ เหมือนกัน คือบางครั้ง หุ้นที่ถืออยู่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว (ขนาดมีหุ้นอยู่ในพอร์ต 11 ตัวแล้วนะเนี่ย) ก็จะทำให้ได้ กระแสเงินสดแฝง ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คือ ข้อเสียสำหรับ DSM .. โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่าอยู่ที่การเคลื่อนไหวแกว่งตัวของราคาหุ้นเป็นสำคัญ เพราะนั่นจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่าเราจะทำ กระแสเงินสดแฝง ได้ถึงเป้ารึเปล่า (ในเวลาที่กำหนด)

และนั่น ทำให้ต้องย้อนกลับไปคิดถึงกระทู้แรกๆที่เจ้าของความคิดนี้บอก คือมีหุ้นอยู่ 50 ตัว ซึ่งตอนนั้นก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมมี หุ้นในพอร์ตเยอะอย่างนั้น จะดูแลพอร์ตไหวเหรอ แต่ตอนนี้ เข้าใจแล้วครับว่า ตัวเองก็อยากจะให้มีมันเยอะๆทั้งจำนวนหุ้นและปริมาณ .. และแน่นอนอยากให้ได้มาด้วยเงินลงทุนก้อนแรกเท่านั้น (ถ้าไม่ใจร้อนเกินไปสักก่อน :)

อยากจะแชร์วิธีการของตัวเองบ้าง...เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้างนะครับ:

เริ่มทำ DSM มาตั้งแต่ปลายปี 47 ในพอร์ตก็มีแต่ตัวแดงๆสักเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลอะไรตราบใดที่ ยังเข้าใจในแนวคิดนี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือ กระแสเงินสดแฝง
…ทำไปทำมา ตอนนี้มี 2 พอร์ต พอร์ตแรกฝึกฝน และ ทำตาม basic มาได้3-4 เดือน…ก็รู้สึกใจร้อนขึ้น เพราะเห็นโอกาสบางอย่างที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ก็เลยเปิดอีกพอร์ตกับญาติ โดยยังยึดหลักการ DSM อย่างเดิม แต่คราวนี้เริ่มใช้วิธีการส่วนตัว… คือว่า จากที่ได้สะสมประสบการณ์มาระยะนึ่ง ก็เริ่มกล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยง โดยการกล้าช๊อตหนักๆขึ้น บางครั้งก็ช๊อตออกไปเลย 100% แล้วก็ให้ ระบบบัญชีคอยควบคุมว่าที่ทำไปนั้นยังอยู่ใน แผนการ และเป้าหมาย… และตราบเท่าที่เรายังเข้าใจในแผนการ, ระบบบัญชี และ เป้าหมายที่วางได้แล้วละก็… วิธีการที่หลากหลายต่างๆ จะโดน ยำใหญ่ ยังไงก็แล้วแต่ มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไรเลย …ผมว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ในขณะนั้นๆมากกว่า ว่าเราจะตัดสินใจยังไง ดูเหมือนจะเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็อย่างที่บอกไว้ว่าตอนนี้ผมมีสองพอร์ต พอร์ตแรกผมก็ยังทำตามวิธี Basic อยู่ครับ แต่พอร์ตใหม่นี่จะค่อนข้าง ไดนามิก (ภาษาประกิตไม่รู้สะกดยังไง…อิอิ ) ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่…ตราบเท่าที่เรายัง
“ซื้ อ ใ ห้ ถู ก ก ว่ า ที่ เ ค ย ข า ย”
ผมว่าก็โอเคแล้วครับสำหรับทุกๆท่าน ไม่ว่าจะมือใหม่-มือเก่า แต่ก็อย่าลืมนะครับ “ระบบบัญชี” อันนี้สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วก็มาถึง ณ ปัจจุบันที่ทำอยู่:
ทุกวันนี้ เวลาที่จะเข้ามาเปิดพอร์ตดูก็เพื่อคอยเช็คราคาดูว่า หุ้นแต่ละตัวจะซื้อคืนได้ยัง หรือควรขายตัวไหนออกไปรึป่าว… ผมไม่สนเลยว่าช่วงเวลาที่ผมไม่ได้เข้ามาดูหุ้นของวันนั้นๆ จะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงไปแล้วเท่าไหร่ …ช่างมัน! ถือว่านั่นคือโอกาศที่เสียไป เพื่อแรกกับเวลาอันมีค่าของผม นั่นคือ เวลานอน!!! (ผมทำงานกลางคืนครับ) ที่ว่าช่างมันไม่สนเพราะว่าผมมีแผนการรองรับไว้นะครับ…คือผมจะดูว่า ณ ราคาของหุ้นที่เท่าไรผมถึงควรจะปรับพอร์ต ด้วยการ เพิ่ม/ลด ปริมาณหุ้นของตัวนั้นๆ เพื่อให้ได้กระแสเงินสดแฝง เท่าๆกันในแต่ละครั้งที่ได้ช๊อตไป (เป็นอย่างน้อย) ขอแค่ว่าหุ้นตัวนั้นหรือตัวไหนๆในพอร์ตมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงช่องสองช่องก็พอ ใจแล้วละครับ. ซึ่งขบวนการทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ระบบบัญชีด้วยครับ มันจะคอยแสดงให้เรารู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้อย่างไร… ค่อนข้างซับซ้อนครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไง…ต้องขอโทษด้วยครับ คือเวลาอธิบายอะไรเป็นตัวหนังสือนี่ ผมมักจะมีปัญหากับสมองของตัวเองอยู่เรื่อยๆ แก้ไม่ตก จิง! จิง! (ยิ้ม)

ก่อนจบก็อยากจะให้ข้อคิดกับ DSMers รุ่นใหม่ๆไว้นะครับว่า “ระบบบัญชี” ที่ดีจะคอยควบคุมวิธีการทั้งหมดให้เราถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการลงทุนเวลาของแต่ละท่านนะครับ

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแบ่งปันให้กันและกันอ่านเล่นก็ได้นะครับ เผื่อบางที ถ้าเป็นประโยชน์ให้ใครได้บ้าง ก็เพื่อเป็นการตอบแทนให้กับคลับแห่งนี้ ที่ผมได้เข้ามาแอบๆอ่านอยู่เป็นประจำ และได้สิ่งดีดีมามากมายจากที่นี่ อยากให้คลับดีดีนี้อยู่ตลอดไปครับ

26. Kwangroong

ยินดีที่คลับครบรอบ 1 ปีแล้ว ชาวDSM ก้อมีเพิ่มขึ้นก่อให้เกิดพลังทวีขึ้นตามลำดับ ยังยืนยันว่ายินดีที่ได้ร่วมเป็นสมาชิกค่ะ แม้จะเพิ่งรู้จักคลับนี้ได้ 6 เดือนแต่ก็มีพี่ๆ เพื่อนๆมากมายมาร่วมพูดคุยกันในคลับ ช่วยขยายกรอบความคิดในเรื่องต่างๆเยอะเลย ไม่ว่าทางโลกแห่งการลงทุน และโลกแห่งการดำเนินชีวิต

กลยุทธ์ DSM ดูเหมือนเรียบง่ายแต่กลับลึกซึ้งตามแต่คนจะเข้าใจและวิธีการของแต่ละคน ส่วนตัวยังงัยก้อเอาสบายใจปลอดภัยไว้ก่อนตามปะสานักเรียนขั้นอนุบาลของDSM ส่วนการเล่นหุ้นเอามันหรือเอารวยไปเลยก้อตามบายนะคะพี่ๆขั้นมหาลัย........

DSM ถ้าจะให้สบายใจ สบายกระเป๋า ก็อย่าแหกกฎบ่อย ...... หนทางยังยาวไกลแต่ปลอดภัยถ้าใช้หลักDSM (เอ....ฟังแล้วคล้ายๆโฆษณาไหมเนี่ย.....แต่ไม่ได้โม้นะ...)

ก้อหวังว่าชาวDSMจะยังคงน่ารักและจริงใจกันต่อไปนะ.....

DSM เป็นวิธีที่มีเหตุผลสำหรับนักลงทุนมือใหม่อย่างตัวเองเป็นต้น
มันมีขั้นมีตอน มีการวางแผน มีการปรับปรุงพลิกแพลงแผนการอยู่ตลอดเวลา
แต่ประเด็นหลักคือจงอย่าฝืนธรรมชาติ จงเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ และรักษาไว้ซึ่งทางสายกลาง รู้จักประมาณตน

ขอบอกว่าเป็นนักเรียนอนุบาลจริงๆทั้งการลงทุนและ การใช้DSM เริ่มเล่นหุ้นมาได้ 2 เดือน แต่ก่อนจะเริ่มก็มีคนเตือนอยู่เรื่อยๆว่ามันจะตื่นเต้น มันจะต้องจดจ่อตลอด ต้องเจอกับมิสเตอร์ตลาดที่อารมณ์แปรปรวน มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆแต่การใช้หลักDSM กลับเป็นการดีสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นเลยเวลาเจออารมณ์ตลาดก็ไม่ตื่นตระหนกเพราะเรามีแผนการรองรับ

สิ่งที่เจอปัญหาก็คือ
1.เลือกหุ้นที่พื้นฐานดีเกินไป (อ้าวก็บอกให้เลือกหุ้นที่อยากอยู่ด้วยนานๆ จนตายจากกันก็ยังรักอยู่นี่นา....) ก็ต้องลดเกรดความดีลงหน่อย เอาเป็นว่าเป็นหุ้นที่ดีและมีการเคลื่อนไหวมาก ๆหน่อย ไม่งั้นรายได้ไม่เกิด

ก้ออีกนั้นหละ ....ด้วยความไม่พอดี ( ยิ้ม ) ก้อเล่นหุ้นเจ้ามือซะหน่อย.......แฮะๆ แต่ใครจะไปมีเวลาเฝ้าจอหละทำงานประจำอยู่นี่.....เจ็ง......เวลาเขาวิ่งไอ้หนูนี่ยังประชุมอยู่เลย......ช่องเชิ่งที่ตั้งไว้แปรขบวนแทบไม่ทัน...งงซิเอางัยต่อ....แปรขบวนแทบไม่ทัน ดังนั้นถึงมีพี่ๆคอยบอกกันอยู่เสมอๆว่าDSMไม่มีแบบตายตัว แผนการทุกอย่างต้องปรับให้เหมาะกับตัวผู้เล่นเอง ไม่ว่าหุ้นที่จะเล่น หรือระยะช่องที่เหมาะสม

2.ไม่กล้าขาย....ไม่กล้าซื้อ
อันนี้เป็นบ่อยๆ....ก็เหมือนเจ้าจดชื่อนี่...ขายทีไรก็วิ่งกลับไปราคาเดิม มีบวกนิดหน่อยให้เจ็บใจเล่น....พอลงอีที...ทีนี้ไม่ยอมขาย....เวรกรรมบังเกิด...ท่านก็ลงต่อ....เฮ้อ...ก็หุ้นมันมีน้อยจะแบ่งหลายๆกองก้อไม่ได้นี่นา ( อันนี้ข้อแก้ตัวของตัวเอง )......อันนี้ขอบอกว่าถ้าทำใจให้ก้าวผ่านปัญหานี้ได้....แผนการที่วางไว้มันจะทำหน้kที่ของมันได้อย่างดี

สิ่งที่จำเป็นของDSM...ข้อมูลการซื้อขายของเราต้องจดไว้ตลอด...ช่วงก่อนเล่นจริงเคยลองเล่นในกระดาษข้อมูลนั้นก็มีประโยชน์อย่าทิ้ง (แต่ห้ามเอามาปนกัน) เอาไว้ใช้ตอนวางแผนได้ การเช็คราคาอยู่เป็นระยะๆเหมือนที่พี่ๆบอกเช่นดูวันละ 2ครั้งบ้าง 4 ครั้งบ้างทำให้เห็นอะไรหลายๆอย่างบางจังหวะเหมือนกับอยู่ในสนามรบเลย ราคาเปลี่ยนเร็วมากดังนั้นวินัยในการทำตามแผนก็ช่วยให้รอดได้เหมือนกัน การเตรียมแผนรองรับต้องไม่ฝืนตลาด ถ้าแหกกฎก็ต้องยอมรับว่าแหก ห้ามปลอบใจตัวเองว่าเราเปลี่ยนมาเป็น VI ชั่วคราวเพราะจะทำให้ไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเลยพาลให้ไม่มีการปรับแผนการ...อย่างงี้ก็น่ากลัวจะเป็นเด็กดอย....เอพักนี้ก็รู้สึกคอยาวๆขึ้นเหมือนกันจะเป็นเด็กดอยไหมเนี่ย....อิอิ....แล้วถ้ากลายเป็นเด็กประถมเมื่อไหร่คงได้เล่นบอลแบบ มีกองหน้า กองกลาง กองหลัง กองเชียร์สักที


27. Kae_numtan

ผมเล่นหุ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้ เดิมทีผมเล่นหุ้นตามที่ โบรกแนะนำตัวไหนดีก็ตามเขาไป ผลปรากฏว่า ตอนแรกได้ครับเพราะว่ามันคือต้นปี หุ้นคึกคักมาก แต่พอเดือนกุมภาเริ่มแย่จนขาดทุนในที่สุด เลยหยุดเล่นไป หนึ่งอาทิตย์ อ่านบทความของพันทิพ ที่คุณหมากเขียว เขียนมีคำว่า DSM อยู่ก็เลยค้นๆๆ ดูแล้วก็ได้เข้าไปอ่าน

แวบแรกรู้สึกงง ๆ มีด้วยเหรอซื้อแพงขายถูก และช่วงนั้นมีสัมมนา ของพี่บ๊อบ ผมก็ไปดู ปรากฎว่าความคิดเปลี่ยนไปครับจากการมองหุ้นว่า เหมือนพนัน กลายเป็นว่าผมต้องทำธุรกิจใหม่คือการเช่าหุ้น และรู้ว่า หุ้นคือทรัพย์สิน เป็นยานพาหนะ อันหนึ่งเพื่อไปถึงเป้าหมาย เลยเริ่มทำดู จนถึงปัจจุบันก็ สี่ เดือนแล้วครับ หลักของผมที่ใช้อยู่คือ

1.ซื้อให้ถูกกว่าขาย (ต้องรู้ว่าซื้อ น่ะได้กำไรไม่ใช่ขายแล้วได้กำไร)เพราะซื้อได้ทั้งหุ้นและ กระแสเงินสดแฝง
2.อย่าเดาตลาด ใจต้องนิ่งครับ เคยทำช่วงแรกๆ ใจแกว่ง และกลัวมาก ก็ทำให้เสียหุ้นในมือไปเยอะเหมือนกัน แต่ตอนนี้ใจก็ยังแกว่งครับ เพราะมีความโลภมายุ่งด้วยอีก (ยิ่งตลาดในช่วงนี้ 5555)
3.เงินมีแต่จะด้อยค่าลงทุกวันครับ ต้องเอาเงินไปซื้อ หรือสร้างระบบ ขึ้นมาเพื่อเป็นตู้ เอทีเอ็ม เบิกเงินสด ผมจำคำพูดคุณเด่นศรีได้
4.ผมมองว่ามูลค่าพอร์ทมีส่วนสำคัญเพราะจะเป็นตัวสร้างกระแสเงินสด เพราะฉะนั้นผมจะซื้อหุ้นที่ มีการขายหนักๆ ลบเยอะๆ ครับ(แต่ต้องมองพฤติกรรมเขามาแล้วอย่างน้อยสุด สอง อาทิตย์)
5.ต้องสนุกมีความสุขกับการทำธุรกิจชนิดนี้

ส่วนหลักที่ผมใช้ในการซื้อขายคือ
1.ขายเมื่อลง สองช่อง เว้นแต่มีแรงขายหนักๆๆ ต้องแบ่งขายให้ได้ทุกช่องเมื่อหุ้นเขียวก็ปล่อยมันไป
2.ซื้อเมื่อต่ำกว่าเดิมห้าช่อง แต่ถ้ามันยังคงแดง หรือมีทีท่าว่าจะลงต่อไปอีก (ไม่ใช่เดาตลาดนะ แต่ ณ ปัจจุบันที่คุณเห็น สมองมันก็จะให้คำตอบเราเลย Sense+เหตุผล ก็จะมีคำตอบ) ก็ห้ามซื้อ รอ รับประทานรวบครับ

ระบบบัญชีคือส่วนที่ทำให้เราอยู่รอดครับ เพราะบัญชีคือฐานข้อมูลที่จะทำให้เรารู้จักอดีต แล้วมองปัจจุบันให้เราต้องทำอะไรต่อไป สำคัญมากๆๆๆๆ ก็คงเหมือนกับ DSMer ทุกคนครับ อิอิ

มีอีกอย่างครับผมมองว่า กระแสเงินสดแฝงสำคัญ ครับ เพราะผมทำธุรกิจกับหุ้น การทำธุรกิจเท่าที่ผมทราบคือ ทุนเดิมต้องได้คืน แล้วมีกระแสเงินสดไหลเวียนอยู่ในตัวธุรกิจ เพื่อให้ตัวธุรกิจอยู่รอดครับ จากนั้นกำไร ก็จะตามมาเอง เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป้าหมายผมคือกระแสเงินสดแฝงของผมต้องได้เท่ากับเงินลงทุนที่ลงไป พร้อมทั้งต้องมีหุ้น(ที่อยากได้) อยู่ในพอร์ทด้วย

28. Marumaru

ดีใจมากที่ได้พบคลับนี้ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองและชีวิตอย่างแท้จริง เพราะได้พบความรู้และโอกาสมากมาย ความรู้ในการลงทุน การดำเนินชีวิตและอื่นๆอีกมาก รวมทั้งโอกาสที่เราสามารถสร้างขึ้นมาเองได้โดยไม่ต้องรอ และไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เรียบง่าย คือสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างมีความสุข และสบายใจที่สุด ขอให้ยึดมั่นในแนวคิด และวิธีการของตัวเอง ขอบคุณทุกท่านตั้งแต่คุณเด่นศรี เรื่อยมาจนถึงน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ที่ทำให้คลับนี้ยังคงอยู่ต่อไป

29. ZARKa

เริ่มอ่านก่อน ส.ค 47 ครับ แต่ก่อนเข้ามา เห็น กระทู้ DSM ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอขึ้นกระทู้แนะนำ ของ ซ้อสี่ ก็เลย ลองอ่านดู แล้วก็พบว่า DSM เป็นวิธีที่ดี วิธีหนึ่งในการบริหารพอร์ต และ เปลี่ยนแนวคิด ในการซื้อ-ขายหุ้น ทำมาได้ประมาณ 1 ปี แล้วครับ
สิ่งที่ต้องระวัง ก็อย่างที่พี่เด่นศรีบอก คือ
ตัววัดทั้ง 8 ตัว ควรจะไปในทางเดียวกัน
สำคัญ คือ ซื้อแล้วลงต่อ โดย เมื่อเราซื้อคืน แล้วไม่ขึ้นแต่มันลงต่อบ่อยๆ เพราะยังงั้นต้องปรับอินดิเคเตอร์ ของตัวเอง เพราะจะทำให้ พอร์ต เล็กลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะ เมื่อเราขยายพอร์ตเร็วเกินไปจะทำให้ไม่มีเงินมาซื้อคืน ซึ่งจะนำมาซึ่งความเครียดครับ
ถึง ณ วันนี้ ผมเองก็ยังต้องพยายามปรับและหาอินดิเคเตอร์ ที่เหมาะสมของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ


30. Kula Shaker

ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือทัศนคติและมุมมองที่มี หรืออาจจะเรียกว่า แนวคิดและจิตใจ เพราะถึงที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานี่ มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ ถ้ายังอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งถ้าเปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้ได้แล้ว ที่เหลือมันก็ง่ายมาก ไม่ว่าจะเห็นหุ้นขึ้นหรือลง

31. BKT

จากการที่ได้เข้ามาศึกษาถึงแนวทางนี้ จากกระทู้เก่าๆตั้งแต่ตอนต้นปี (ย้อนกลับไปถึงปี 47) ทำให้ผมได้เจอแนวทางที่สามารถนำมาปรับและประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ทันที ตัดปัญหาความกังวลใจอันเนื่องมาจากความไม่รู้ว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละวัน ทำให้สามารถ cut loss ได้ทันทีเพราะมีระบบมาช่วยควบคุมแทนการใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นตัวตัดสิน ซึ่งสุดท้ายแล้วทำให้ผมเปลี่ยนแนวความคิดจากการหากำไรจากหุ้นมาเป็นการลงทุนในหุ้นแทน และในที่สุดก็เป็นการตอบโจทย์ของหนทางสู่การมีอิสรภาพทางการเงินของผมเอง

ผมเคยอ่านเจอจากที่ไหนสักแห่ง แล้วจำได้พร้อมทั้งนำมาใช้ทันทีกับกรณีนี้ นั่นคือ
“ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทำสิ่งใหม่ๆ ตัวเราก็จะได้และเป็นอยู่อย่างเดิม ”

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปได้ก็จะไม่รู้สึกว่ายากลำบากแต่อย่างใดอีก
ผมเชื่อว่าพวกเราทุกท่านที่ได้ใช้แนวทางนี้ จะสามารถผ่านความยากลำบากที่เป็นการทดสอบขั้นต้นนี้ไปได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม

สุดท้ายนี้ก็ขอหยิบยืมหนึ่งในคำพูดที่ดี ที่พี่เต่าหยวนเปียวได้เอ่ยไว้เพื่อเตือนใจตัวเองเสมอว่า
“ ความอดทน และ การเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่เป้าหมายที่กำหนด ”

32. จูล่ง – สุภาพบุรุษจากเสียงสาน

การลงทุนหุ้น DSM ต้องเข้าใจแนวคิดให้ดี และถูกต้องก่อนการเริ่มการลงทุน และมองการสร้างทรัพย์สิน แผนการเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และระบบบัญชีก็ยิ่งขาดไม่ได้อีกเช่นกัน
คงไม่ต้องเขียนอะไรมากเพราะ “จงซื่อสัตย์ต่อตัวเองในอนาคต เพื่ออิสรภาพทางการเงิน”

No comments:

Post a Comment

SAA Consensus หุ้นที่มีการ update วันนี้

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ ภาวะตลาด

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ เทคนิค

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ หุ้นรายตัว

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ พิเศษ

SETTRADE.COM - บทวิเคราะห์ หุ้น IPO

กรุงเทพธุรกิจ - ธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจ - การเงิน - การลงทุน