หลักการซื้อคืนดังนี้ 3 แบบ ดังต่อไปนี้
1. ซื้อคืนเมื่อราคาต่ำกว่าที่ขาย
ประมาณ 5 ช่อง
2. ซื้อคืนเมื่อซื้อกลับมาได้รวดเดียว 3
ราคาที่ขายไป
3. ซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง
ค่อยเข้าซื้อ
สมมุติว่าคุณซื้อหุ้นราคา 10.00 บาท จำนวน 10,000 หุ้น ทีละ
10% เท่ากับ 1,000 หุ้น
กรณีที่ 1. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปหุ้นไปที่ราคา
9.90 บาท และสามารถรับหุ้นกลับได้ที่ 9.65 บาท ให้เคาะซื้อด้าน offer
กรณีที่ 2. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปตามแผนที่วางไว้ ขาย ทุก 2 ช่อง
รับหุ้นกับคืนทุก 3 ช่อง เช่น ขายไปที่ 9.90, 9.80, 9.70, 9.60, 9.50
บาทแล้วราคาหุ้นมานิ่งที่ 9.55 บาท ซึ่งสามารถรับกลับได้ที่ 9.90, 9.80, 9.70
ซึ่งสามารถซื้อกลับได้ 3 ไม้ที่ขายไป
กรณีที่ 3.
หมายถึงว่าได้ทำการขายหุ้นไปตามแผนที่วางไว้
แล้วมีแรงขายออกมาจากหุ้นอย่างมากและต่อเนื่อง
ซึ่งไม่ควรรีบไปรับหุ้นกลับต้องรอให้หุ้นลงจนสุดและนิ่งแล้วราคาเริ่มขึ้นมาได้ 4
ช่อง แล้วค่อยซื้อคืน เช่น ขายที่ 9.90, 9.80, 9.70, 9.60, 9.50, 9.40, 9.30, 9.20,
9.10, 9.00 บาท แล้วราคาก็ไหลลงไปอีกเรื่อย ๆ หลังจากที่เราขายหมดมือไปแล้ว
สมมุติว่า ราคาลงไปถึง 8.50 บาท แล้วเริ่มนิ่งๆ มีแรงซื้อกลับเข้ามาอยู่ที่ 8.70
บาท ก็สามารถซื้อคืนทั้งหมดที่เราขายไปได้ทั้งสิบไม้
ถ้าหลังจากรับกลับแล้วขึ้นวิ่งขึ้นมาที่ 9.20 บาท ก็ยิ้ม
แต่ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงต่อทำอย่างไรดี ไม่ต้องกลัวก็ขายใหม่โดยเอาจุดที่เราซื้อคืน
8.70 บาท เป็นฐาน ถ้าลงมาที่8.60 บาท
ขายตามแผนการลงทุนที่วางไว้
การซื้อรูปแบบที่ 3
ใช้กับหุ้นที่เรามีจำนวนมากเพราะยังแสดงว่าหุ้นลงและซื้อกลับได้
ส่วนการซื้อรูปแบบที่ 1-2 ใช้กับหุ้นที่เรามีเหลือจำนวนน้อย
และส่วนที่ยังซื้อคืนไม่ได้ทิ้งไว้เป็นกองหลังต่อไป
ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าถ้าหุ้นไหลลงอย่างแรงอย่างมาก
อาจมีการลงต่ออีกหลายวันต้องพิจารณาแต่ละเหตุการณ์ไป
หรือรอให้ราคาหุ้นตกจนสุดหรือเรียกว่าสะเด็ดน้ำหรือมีดตกถึงเขียงแล้วค่อยเข้าไปซื้อคืนตอนที่หุ้นเขียวอ่อน
ๆ และขึ้นมาจากจุดสุดท้าย 4 ช่อง เพื่อรับประกันว่าขึ้นจริง
แต่อย่าลืมที่บอกไปนะว่าถ้าลง ก็ขายตามแผนต่อ อยากจะบอกและเน้นย้ำว่า DSM
เป็นแนวคิดไม่ใช่วิธีการใด ๆ ไม่มีวิธีการใดดีที่สุดสำหรับนักลงทุนแต่ละท่าน
ต้องค้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับตัวนักลงทุนแต่ละท่านเอง
ถ้าถามว่า
หลักการซื้อคืนข้อไหนดีที่สุด ก็คงบอกไม่ได้ว่าข้อไหน
แต่ต้องบอกว่าแล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ เป็นหลัก
แต่ถ้าเป็นไปได้อย่างให้ยึดหลักการซื้อคืนข้อ 3 เป็นหลัก
เพราะการซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง แล้วเข้าซื้อ
นั้นย่อมแสดงว่าหุ้นมีการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แล้วโอกาสที่หุ้นจะลงต่อก็น้อยลงไปด้วย แต่ก็อาจจะลงต่อได้เมื่อกัน
อย่าลืมว่าห้ามเดาตลาด เพราะเป็นอะไรที่เดาไม่ถูก100% แน่นอน
ถ้าถามว่า
การซื้อหุ้นกลับคืนเร็วตามลำดับการขาย(ข้อ 1, 2) กับ การซื้อแบบรวบยอด (ข้อ 3)
มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ มีความแตกต่างกัน 2
ข้อใหญ่ดังต่อไปนี้
1. การซื้อคืนแบบรวบยอด
ทำให้ได้กระแสเงินสดแฝงมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
2. การไม่รีบซื้อหุ้นคืน
อาจจะช่วยชีวิตเราได้ในยามที่ วงในมีข่าวร้ายแล้วเค้าค่อย ๆ ระบายหุ้นทิ้ง
เพราะหากเกิดกรณีเช่นนี้ การซื้อหุ้นคืนเร็วเกินไป แล้วต้องมาขายหุ้นอีก
เมื่อราคาไหลลงต่อ
เพื่อจะได้ซื้อหุ้นคืนกลับแบบไม่รู้จบโดยขายและซื้อกลับซ้ำแล้วซ้ำอีก
แทนที่จะขายให้หมดมือ แล้วรอจนอาการดีขึ้นซึ่งบางครั้ง อาจไม่ดีขึ้นเลยก็ได้
ตัวอย่างหุ้น เช่น PICNI เป็นต้น นักลงทุนท่านใด ทำการซื้อคืนตามแบบข้อ 1, 2 กับ
การซื้อคืนตามแบบข้อ 3 ก็จะได้เห็นความแตกต่างของกระแสเงินสดอย่างมีนัยสำคัญ
และการซื้อคืนตามแบบข้อ 3
ก็ช่วยชีวิตท่านได้อีกเช่นกัน
แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆไม่ได้อยู่ที่การซื้อคืนตามลำดับหรือว่าการซื้อคืนแบบรวมยอด
แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือ “เมื่อหุ้นลง ต้องขายลงมาเรื่อย ๆ ตามแผน
แล้วไม่รีบซื้อกลับคืน” สิ่งนี้ถือว่าสำคัญกว่าวิธีการซื้อหุ้นกลับคืนไม่ว่าวิธีไหน
ๆ
Saturday, March 24, 2012
DSM Concept Version 3 : DSM (12) – หลักการซื้อคืน 3 แบบ
Labels:
DenSri Method,
DSM,
DSM Concept,
DSM Concept Version 3,
กลยุทธ์การเล่นหุ้น,
จูล่ง,
เด่นศรี
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment